อดีตประธานตท.รุ่น 5 ห่วงบทบาทเสธ.อ้าย
การขับเคลื่อนชุมนุมใหญ่ต่อต้านรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรก หลังบริหารประเทศมาเพียงปีกว่า ทำให้ชื่อของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่กว้างขวางในแวดวงกีฬามานาน เป็นที่รู้จักในฐานะองค์การพิทักษ์สยามแกนนำการนำชุมนุมร่วมกับภาคีเครือข่าย และแม้ทางกลุ่มยืนยันว่ามีทหารเป็นแกนประสานงานจริงไม่เกิน 5 คน เช่น พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ รองประธานฯ และพล.อ.ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์ คณะทำงาน โดยไม่เกี่ยวข้องกับนายทหารในสมาคมศิษย์เก่าเตรียมทหารและราชตฤณมัยสมาคมฯ หรือ สนามม้านางเลิ้ง ที่ถูกใช้เป็นวอร์รูมการชุมนุม แต่กลไกการบริหารจัดการชุมนุมครั้งนี้ ก็นำรูปแบบทางทหารมาช่วยขับเคลื่อนหลายด้าน เพื่อเน้นความเฉียบขาด โดยมีอดีตนายทหารที่เคยผ่านการชุมนุมทางการเมืองร่วมให้คำปรึกษา ทั้งพล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ และพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน
พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี โฆษกองค์การพิทักษ์สยาม ยืนยันว่า แม้จะมีอดีตทหารเป็นแกนกลางประสานงาน แต่การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่มาจากเครือข่ายมวลชน ขณะเดียวกันก็ยอมรับข้อดีของความเป็นอดีตทหารในการสร้างความน่าเชื่อถือ และมีเป้าหมายชัดเจน ขณะเดียวกันอดีตเตรียมทหารรุ่น 10 บางคน ตั้งข้อสังเกตว่า การชุมนุมใหญ่ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ นอกจากจะมีการบริหารจัดการคล้ายรูปแบบทหารแล้ว ยังพบข้อมูลว่า อาจมีอดีตทหารผ่านศึกที่ผ่านการประสานงานจากอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยบางส่วนเข้าร่วมชุมนุม รวมทั้งอาจมีทหารประจำการเข้าร่วมด้วย เพื่อทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งคาดว่าจะมาจากหน่วยทหารที่อยู่ใกล้กรุงเทพมหานคร ขณะที่กองทัพบก ยังคงย้ำคำสั่งห้ามทหารเข้าร่วมชุมนุม
พล.อ.ธนู ศรียากูล อดีตประธานศิษย์เก่าเตรียมทหารรุ่น 5 ระบุว่า กลุ่มเตรียมทหารรุ่น 5 และรุ่น 10 ที่ออกมาคัดค้านการชุมนุมครั้งนี้ ไม่มีแผนจะเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ แต่ยังคงติดตามสถานการณ์ พร้อมทั้งเป็นห่วงพล.อ.บุญเลิศ ในฐานะเป็นรุ่นพี่ ซึ่งจะต้องรับผิดชอบการชุมนุมและอาจถูกดำเนินคดี หากเกิดปัญหาและมีการทำผิดกฎหมายระหว่างการชุมนุม พร้อมทั้งเห็นด้วยหากรัฐบาลจะใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อป้องปรามการทำผิดกฎหมาย พร้อมฝากถึงทหารที่ยังอยู่ในราชการ ไม่ควรเกี่ยวข้องกับการชุมนุม แม้จะเป็นการช่วยเหลือระหว่างกัน
การชุมนุมใหญ่ภายใต้การนำของพล.อ.บุญเลิศ โดยมีเป้าหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยฉับพลัน ไม่เพียงสะท้อนความคิดจากหลายฝ่ายในสังคม แต่ยังเป็นการประเมินท่าทีและชี้วัดกระแสต่อต้าน และสนับสนุนรัฐบาล รวมทั้งบทบาทของกองทัพที่ถูกดึงเข้ามาเชื่อมโยงกับการเมืองแทบทุกครั้ง