หลากหลายความเห็นหลังประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ส.ว.สรรหา เปิดเผยว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะมองว่าเป็นการกดดันผู้ชุมนุม หรือเพิ่มความรุนแรงไม่ได้ เพราะกฎหมายเป็นเพียงตัวเสริมเข้ามาช่วยดูแลสถานการณ์ ซึ่งการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในการควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝูงชนจำนวนมาก ไม่ใช่งานง่ายๆ สำหรับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรัฐบาลเลย แต่ต้องทำ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศ
ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ได้ให้อำนาจรัฐฝ่ายเดียว แต่ยังคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตด้วย โดยเฉพาะมาตรา 20 ที่ระบุว่า "การใช้อำนาจต่างๆ หากทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้สุจริต ต้องชดเชยความเสียหายให้กับบุคคลเหล่านี้ตามสมควรในแต่ละกรณี" ด้วย ซึ่งประชาชนก็ได้รับสิทธิ์เช่นกัน
ด้านนายอนุวัตร เฉลิมไชย นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เห็นว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นมาตรการเชิงป้องกันเหตุร้ายมากกว่า อาจมีผลต่อสายตาต่างชาติบ้างในแง่ภาพลักษณ์ประเทศบ้าง ซึ่งภาคเอกชนก็หวังจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีบรรยากาศในแง่บวก มีบุคคลสำคัญระดับโลกเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีในแง่ภาพลักษณ์ประเทศ และยังส่งผลบวกในแง่ภาวะเศรษฐกิจของไทยอีกด้วย จึงหวังว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และการชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีผลให้ทุกอย่างกลับมาเป็นลบ และยังหวังว่าการประกาศใช้กฎหมายนี้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ด้านโคทม อารียา ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ม.มหิดล เห็นว่า ผู้ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ น่าจะมีข้อมูล คงประเมินสถานการณ์ได้ว่าความรุนแรงจะระดับไหน ถึงได้ประกาศกฎหมายดังกล่าวออกมา หวังว่าข้อมูลที่รัฐบาลได้รับจะเป็นข้อมูลจริง และโดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพราะโดยนัยเหมือนกับอยากให้ทหารออกมา ให้มีส่วนร่วมดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม
อ.โคทม มองว่าตรงนี้ถือเป็นดาบสองคม เพราะที่ผ่านมาทหารไม่มีความถนัดหรือมีความรู้เรื่องการควบคุมฝูงชน ดังนั้น การรับมือน่าจะเน้นที่การตั้งมั่นตั้งรับมากกว่าเปิดทางให้ทหารจับอาวุธ