ส.ว. เตือนเร่งแก้รัฐธรรมนูญ อาจเกิดความขัดแย้ง
กลุ่ม 40 ส.ว. แสดงความเป็นห่วงว่า การที่พรรคร่วมรัฐบาลเตรียมเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้าจากกลุ่มที่คัดค้านและกลุ่มที่สนับสนุน จนทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมโดยรวม ทางกลุ่มได้มีการหารือเพื่อเสนอทางออก โดยจะใช้สิทธิ์ยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ด้วยการเข้าชื่อสมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน5 หรือ 128 คน มีสิทธิ์เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เบื้องต้นในสัปดาห์หน้า จะมีการยกร่างญัตติ ก่อนที่จะนำเสนอให้ ส.ว. และ ส.ส.ร่วมลงชื่อเสนอ และหากได้รายชื่อครบตามรัฐธรรมนูญกำหนดจะยื่นเสนอต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทันที พร้อมเตรียมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ว่าด้วยการยุบพรรค ซึ่งจะไม่ให้ยุบพรรค หากพบว่า มีการทุจริตเลือกตั้ง แต่ยังคงโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ของกรรมการบริหารพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคเอาไว้ มีการและ มาตรา 117 ว่าด้วยข้อห้ามการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. สายเลือกตั้งที่ไม่ให้ติดต่อกันเกินหนึ่งวาระ เพื่อปลดล็อคความขัดแย้งของสังคมต่อประเด็นการเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระสาม
ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ผลของคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล เป็นไปโดยไม่ปฏิบัติตามความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยวินิจฉัยว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องมีการทำประชามติ ถามความเห็นประชาชน ทั้งก่อนและหลังการยกร่างแก้ไข
ขณะที่กระบวนการแก้ไข ควรเป็นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนุญ มาตรา 291 ที่ต้องแก้เป็นรายมาตรา โดยสมาชิกรัฐสภา สามารถตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ ไม่ใช่การตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งหากคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล ยังคงเดินหน้าตามนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จะใช้ช่องทางการยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 เพราะเข้าข่ายการล้มล้างรัฐธรรมนูญ
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เห็นด้วยต่อการจัดทำประชามติทั้งก่อน และหลัง การยกร่าง ของ ส.ส.ร. โดยหากไม่ดำเนินการตามนี้ อาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยจากนี้พรรคฯ จะประชุมกำหนดท่าทีต่อการลงมติรัฐธรรมนุญวาระ 3 ที่แม้เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่ก้าวล่วงหมวดสถาบัน และรัฐบาลไม่ควรเร่งรีบที่จะดำเนินการเพราะอาจเกิดปัญหา จากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยได้