นายทหารพระธรรมนูญนำตัวพลทหารในคลิปฉาวเข้ามอบตัว
นายทหารพระธรรมนูญได้พาตัว พลฯศักดิ์ชาย ไชยนอก สังกัดกองร้อยที่ 1 กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 ซึ่งเป็นชายคนเดียวกับที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ ซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค เข้าพบพนักงานสอบสวนโดยใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสอบสวน กล่าวว่า เบื้องต้น พลฯดังกล่าว ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนที่ทำร้ายคู่กรณีจริง ตำรวจจึงได้แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือ ความตกใจด้วยการขู่เข็ญ ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า และจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ก่อนหน้าที่ พลทหารผู้ก่อเหตุ จะเดินทางเข้ามอบตัว คู่รักที่เป็นสัตวแพทย์คู่กรณี ได้เดินทางเข้าให้ปากคำ โดยระบุว่า ทั้งคู่ได้ขับรถมาตามถนนพระราม 5 เพื่อจะกลับบ้านพัก แต่ขณะที่ขับรถอยู่บนถนนเลนขวาสุด สังเกตเห็นรถคันหนึ่ง ซึ่งขับอยู่เลนกลางขับส่ายไปส่ายมา เหมือนจะเข้ามาชนรถของตน จึงได้บีบแตร เพื่อบอกให้รถคันดังกล่าวรู้ว่ากำลังข้ามเลนมา จนรถคันดังกล่าวหักหลบออกไปก่อนที่รถคันดังกล่าวจะขับขึ้นมาตีคู่ และเปิดกระจกด่าทอ จนกระทั่งรถคันดังกล่าวได้ขับรถแซงขึ้นหน้า และขับปาดขวางหน้ารถ
ก่อนที่ชายคนหนึ่ง จะเดินลงมาจากรถ เปิดประตูพร้อมทั้งชกเข้าที่ใบหน้าและศีรษะอีกหลายครั้ง จนแฟนสาวที่นั่งอยู่ในรถต้องยกมือไหว้ขอโทษ แต่ชายคนดังกล่าวก็ไม่สนใจพร้อมทั้งตะโกนบอกว่าเป็นสารวัตรทหาร ถ้าอยากเอาเรื่องก็ไปแจ้งความได้เลย ก่อนที่แฟนของชายคนดังกล่าว จะเข้ามาห้ามปราม และพาขึ้นรถขับออกไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแฟนได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพเหตุการณ์ไว้ได้โดยตลอด จึงเข้าแจ้งความ
สำหรับคลิปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์นี้ ได้ถูกโพสต์ลงบนเครื่อข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ค และมีผู้เข้าชมจำนวนมาก และหลังจากตำรวจได้รับแจ้งความ จึงได้ทำการตรวจสอบภาพ ซึ่งสามารถเห็นหน้าผู้ก่อเหตุ และทะเบียนรถได้อย่างชัดเจน
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนี้ว่า กองทัพบกไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ตรวจสอบแล้วพบว่าชายที่ปรากฏในภาพ ซึ่งอ้างตัวเป็นทหารยศนายสิบนั้น แท้จริงแล้วเป็นพลทหาร ซึ่งกำลังจะปลดประจำการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยทางต้นสังกัดได้สอบสวน และคุมตัวไว้ภายในหน่วยแล้ว และมีการลงโทษทางวินัยต่อไป ซึ่งโทษสูงสุดถึงขั้นจำขัง เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายสร้างความเสื่อมเสียแก่กองทัพบก พร้อมยืนยันว่ากองทัพจะไม่ปกป้องคนผิด อีกทั้งจะดำเนินการอย่างเฉียบขาดอย่างแน่นอน
ส่วนโทษทางคดีอาญานั้น ขึ้นอยู่กับผู้เสียหายซึ่งทราบว่า ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ซึ่งตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิจารณาส่งฟ้องต่ออัยการทหารต่อไป ทั้งนี้ยืนยันว่า กองทัพบกจะไม่ปกป้องกำลังพลที่กระทำความผิดเนื่องจากเป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้เน้นย้ำอยู่เสมอ และกองทัพบกก็จะติดตามการดำเนินของต้นสังกัดอย่างใกล้ชิด