สัมภาษณ์พิเศษ 1 ปี รัฐประหาร | พระสุเทพ ปภากโร : ยึดอำนาจ...ความฝันของกปปส.?

15 พ.ค. 58
08:00
494
Logo Thai PBS
สัมภาษณ์พิเศษ 1 ปี รัฐประหาร | พระสุเทพ ปภากโร : ยึดอำนาจ...ความฝันของกปปส.?

เกือบ 1 ปีผ่านไปหลังจากที่ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" สลัดภาพผู้นำมวลชนและหันหลังให้อาชีพนักการเมืองเข้าห่มจีวรเป็น "พระสุเทพ ปภากโร” อยู่ที่วัดธารน้ำไหลหรือสวนโมกข์ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี "หทัยรัตน์ พหลทัพ" ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสได้นั่งสนทนากับพระสุเทพถึงบทบาทในอดีตที่ร่วมต่อสู้กับมวลชนบนท้องถนนกว่า 200 วันในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นอกจากนี้พระสุเทพยังได้ย้อนเวลากลับไปถึงวินาทีประวัติศาสตร์ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยึดอำนาจในวันที่ 22 พ.ค.2557

กปปส.เคยเสนอทางออก 4 ข้อที่คิดว่าเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การปฏิรูป หนึ่งในนั้นคือการมีนายกรัฐมนตรีที่ปราศจากการเมือง คิดว่าจะเดินถึงจุดนี้หรือไม่
ถึงตอนนี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกรัฐมนตรี อาตมาก็คิดว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย เพราะคนอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความผูกพันกับพรรคการเมืองไหน ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทย ท่านเป็นทหารอาชีพ และเรื่องที่ท่านออกมายึดอำนาจเป็นเรื่องที่ท่านตั้งใจออกมายุติปัญหาของประเทศและตั้งใจปฏิรูปประเทศ อาตมาคิดว่าบุคคลอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ เหมาะสมที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ผลักดันเรื่องการปฏิรูป เพราะไม่มีผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก เรียกว่าเป็นคนกลางจริงๆ

เป็นความฝันของ กปปส.เลยหรือไม่ที่ต้องการให้มีการยึดอำนาจ
ไม่ใช่ จริงๆ คำมันเกี่ยวกันเล็กน้อย ยึดอำนาจนั้นใช่ แต่ไม่ใช่การยึดอำนาจโดยทหาร กปปส.ตั้งใจจะยึดอำนาจโดยประชาชน เพราะเรารู้ว่าถ้าประชาชนเป็นผู้ยึดอำนาจ นานาประเทศจะมาวุ่นวายกับเราไม่ได้ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยมีสูตรที่ประชาชนยึดอำนาจแล้วสำเร็จ เราก็ทำใจ เพราะว่าการมายึดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่การอยากมีอำนาจ แต่มีเหตุ มีเรื่อง เห็นชัดเจนแล้วว่ามีการฆ่ากันตาย มีการต่อสู้กันอย่างที่อาจจะบานปลายไปมากกว่านี้ อาตมาคิดว่าการที่พล.อ.ประยุทธ์และคณะทหารออกมายึดอำนาจเป็นจังหวะที่เหมาะสำหรับประเทศ

เคยมีหนังสือพิมพ์รายงานว่าท่านพูดว่าเคยวางแผนการยึดอำนาจร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร
อันนั้นคงเกินไปหน่อย ความจริงรู้จักกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะทำงานด้วยกันเมื่อปี 2552-2553 ระหว่างที่ทำงานได้พูดเรื่องบ้านเมือง ความคิดความเห็นอาจจะไม่ตรงกันทีเดียว ท่านก็มองในแง่ของข้าราชการทหาร อาตมาก็มองในแง่นักการเมือง แต่เหมือนกันคือเราต่างมีใจรักชาติรักแผ่นดินด้วยกัน เป็นห่วงบ้านเมืองด้วยกัน

ระหว่างที่มีการชุมนุมของกปปส. พล.อ.ประยุทธ์ เคยติดต่อมาพูดคุยหรือไม่
ไม่ได้โทรศัพท์มาคุยแต่มีพบกัน วันดีคืนดีท่านก็ให้ทหารมารับตัวอาตมาไปพบ ตอนพบมีพล.อ.ประยุทธ์, ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ, ผู้บัญชาการกองทัพเรือ และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาตมาก็ไปนั่งพูดกับคุณยิ่งลักษณ์ ผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพก็นั่งฟังเราพูดกัน ระหว่างนั้นถ้าจะมีที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดกับอาตมาบ้างก็คงจะบอกอาตมาว่า ระวังอย่าไปทำอะไรที่ผิดกฎหมาย อย่าทำอะไรรุนแรง

พูดจริงๆ อาตมากับ พล.อ.ประยุทธ์ พบกันน้อยมาก คุยกันน้อยมาก ตั้งแต่ยึดอำนาจมายังไม่พบกันเลย แต่อาตมาก็มีความเข้าใจที่ดีต่อเขา แต่เขาจะเข้าใจอาตมาดีหรือไม่อาตมาไม่รู้ แต่อาตมาเชื่อมั่นว่าเขาน่าจะทำงานนี้ได้สำเร็จ

ท่านเคยอ้างถึงคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ที่บอกว่า "ประชาชนเหนื่อยแล้ว เป็นหน้าที่ของทหารที่จะออกไปทำหน้าที่" ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาไปพูดในงานหลังจากที่ยึดอำนาจแล้ว คือ กปปส.มีนัดทานข้าวกัน พวกเขาก็ถามอาตมา เพราะสงสัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ข้างไหน เขาไม่ได้พูดจาออกมาตรงๆ แต่ตอนนั้นมีการประกาศกฎอัยการศึกแล้ว อาตมาก็อยากจะรู้ว่า เขาจะทำอย่างไรต่อ พล.อ.ประยุทธ์ก็บอกว่า พวกเรา (กปปส.) เหนื่อยมากแล้ว ต่อไปเขา (พล.อ.ประยุทธ์) จะทำเอง อาตมาเอามาขยายความเองเพื่อความเข้าใจของตัวเองมากกว่า

ท่านร่วมมือกับพล.อ.ประยุทธ์ในการยึดอำนาจครั้งนี้หรือไม่
ไม่ได้ร่วมมือ วางแผนร่วมกันก็ไม่ใช่ ร่วมมือกันก็ไม่ใช่ แต่ถ้าถามว่ามีเป้าหมายเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินเหมือนกันหรือไม่ อาตมาตอบว่า ใช่ บางทีถ้าทิศทางเป้าหมายทางเดียวกันไม่ต้องซักซ้อม ไม่ต้องร่วมมือกัน ต่างคนต่างทำ อันนี้บริสุทธิ์ใจ พูดตรงๆ ไม่ได้มานั่งคิดด้วยกันว่า ผมจะทำอย่างนี้ คุณทำอย่างนั้นนะ แต่ในฐานะแกนนำ อาตมาต้องอธิบายกับคนข้างๆ ต้องขยายความเป็นธรรมดา

                            

<"">

ขณะที่ กปปส.ชุมนุม มีหลายครั้งที่ชักจูงให้ทหารออกมาปกป้องประชาชน เสมือนเปิดประตูให้มีการรัฐประหาร
ที่จริงเราตั้งใจจะยึดอำนาจโดยประชาชน แต่ว่าอยากให้ทหารมาอยู่ข้างเราด้วยจะได้ทำงานได้สำเร็จ แต่ก็เข้าใจดี ทหารคงไม่คุ้นเคยที่จะทำงานกับมวลชนมากๆ คงกลัวปวดหัว เพราะประชาชนมีเป็นพันเป็นหมื่นความคิด คงคิดว่าวิธีการของเขาดีกว่า

ถือเป็นการส่งสัญญาณหรือไม่
ไม่ใช่ส่งสัญญาณ เป็นการเรียกร้องเลย ไม่ได้เรียกร้องให้ยึดอำนาจ แต่เรียกร้องให้มาอยู่กับเรา

แต่ก็มีการตีความว่า กปปส.กับกองทัพร่วมมือกันในการยึดอำนาจครั้งนี้
อันนั้นก็พูดเกินเลยไป เรื่องคนพูด คนสันนิษฐานก็ว่าไปต่างๆ นานา การสันนิษฐานก็คือการคาดเดาเอง อาตมาพูดตรงไปตรงมาว่า กปปส.ไม่ได้ร่วมมือกับทหาร เพียงแต่ว่าจังหวะ โอกาส เวลา อาจจะเอื้อกับสิ่งที่กปปส.กำลังสู้ มันเป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้ทหารออกมายึดอำนาจในช่วงนั้น

วันที่ 22 พ.ค.2557 ที่เป็นวันยึดอำนาจ ท่านไปประชุมที่สโมสรกองทัพบก ซึ่งมีจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ไปด้วย ได้คุยอันไรกันหรือไม่
ได้คุยกับคุณจตุพรและแกนนำ นปช.หลายคน ส่วน กปปส.ก็มีอีก 2-3 คน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้นั่งคุยด้วย อาตมาเป็นคนชวนคุยและบอกเขาว่า ถ้าเราคิดว่าสู้กันเพื่อประเทศชาติเรา 2 ฝ่ายมาร่วมมือกันแล้วปฏิรูปประเทศ แล้วเชิญทหารมาร่วมด้วยไหม แต่ฝ่ายนปช.ไม่ยอม ก็พูดไปพูดมาตอนหลังก็ไม่เชิงไม่ยอม เขาบอกว่าขอเวลาคิดก่อน ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะจบ

อาตมาก็ถามตรงๆ ว่า ถ้านปช.ตั้งใจทำเพื่อประชาธิปไตย ทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ ก็อยากจะทำให้บ้านเมืองปฏิรูปให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถ้า 2 ความคิดตรงกันก็ควรมาร่วมมือกัน แล้วชวนทหารมาร่วมด้วย  แล้วไม่ต้องทะเลาะกันก็ให้ทหารเป็นรัฐบาล พวกเรามีความคิดความเห็นอะไรก็เสนอไป อาตมาก็พูดอย่างนี้ แต่ นปช.ไม่เอา

นปช.บอกเหตุผลหรือไม่ว่า ทำไมไม่ยอมรับ
อย่าพูดเลย พูดแล้วจะไม่เข้าหลักปรองดอง เดี๋ยวจะเป็นปัญหา เพราะไม่ควรพูดบางอย่าง

หลังออกจากห้องประชุมกลุ่มย่อยมีการพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ หรือว่ามีการพูดคุยในกลุ่มใหญ่อีกหรือไม่
พอออกจากห้องประชุมกลุ่มย่อย เราก็เดินไปห้องประชุมใหญ่ซึ่งมีพรรคเพื่อไทย คณะรัฐมนตรี ผบ.เหล่าทัพ และ พล.อ.ประยุทธ์ พอไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ก็ถามว่า ประชุมกันได้ผลอย่างไร อาตมาก็ตอบว่ายังไม่ได้ข้อสรุปเพราะนปช.บอกว่าจะไปคิดก่อน พล.อ.ประยุทธ์ก็ถามว่าจะไปคิดเรื่องอะไร อาตมาก็เล่าให้ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ประโยชน์อะไร คุยกันก็เสียเวลา ท่านก็บอกว่า 'รับทราบ'

แล้วพล.อ.ประยุทธ์ ก็ถามทางฝ่ายรัฐบาลว่า สถานการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว ครม.จะลาออกเพื่อให้ตั้งรัฐบาลใหม่ได้หรือไม่ ตอนนั้นคุณชัยเกษม นิติศิริ (อดีตรองนายกรัฐมนตรี) ก็บอกว่า 'ไม่ได้ ไม่ออก ครม.ไม่ออก ส่วนตัวก็ไม่ออก' และยังพูดทำนองว่านาทีนี้ยังไม่คิดจะออก พล.อ.ประยุทธ์ ก็บอกว่า นาทีนี้ท่านก็ยึดอำนาจ

วินาทีนั้นคิดหรือไหมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจจริงๆ
ไม่คิดมาก่อน ไม่คิดมาก่อนว่าวันนั้นจะเป็นวันยึดอำนาจ แต่ก็มองภาพรวมว่าคงไม่มีทางออกอย่างอื่นนอกจากการยึดอำนาจ เพราะรัฐบาลดื้อเหลือเกิน รัฐบาลตอนนั้นทำอย่างไรก็ไม่ไป ตอนนั้นอาตมาก็เห็นว่าทางเดียวรัฐบาลต้องออกไป ซึ่งก็คือการยึดอำนาจโดยกองทัพ

หลังจากนั้นท่านถูกควบคุมตัวไปที่ไหนและได้ถูกสั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่
อาตมาถูกควบคุมตัวไปที่ค่ายทหารที่ต่างจังหวัด 5 คืน 5 วัน ก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร หมายความว่า อาตมาเป็นคนทำใจได้ ทั้งคณะอยู่ได้ ไม่มีปัญหา ไม่มีการสอบปากคำ ไม่มีการทำข้อตกลง ทำสัญญาอะไร ถึงวันเวลาเขาก็พามาส่งที่อัยการ เพราะเราถูกฝ่ายรัฐบาลเก่าตั้งข้อหาไว้ ก็ประกันตัวออกมาสู้คดี

                           

<"">

                          
ผ่านมาหนึ่งปีของการยึดอำนาจ ประเมินการทำงานของ คสช.อย่างไร
รู้ว่าเขาทำงานด้วยความยากลำบากมาก ในสถานการณ์อย่างนี้น่าเห็นใจว่า ปัญหาของประเทศที่รัฐบาลเก่าสร้างไว้มีมากมาย โดยเฉพาะปัญหาทางด้านการเงิน เรียกได้ว่ารัฐบาลถังแตกไปแล้ว เมื่อขาดเงินก็จะทำให้เกิดอุปสรรคหลายอย่าง อีกทั้งจังหวะไม่ดีที่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจของโลกด้วย ประเทศเราจึงหนัก ในขณะเดียวกันการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เดินหน้าไปได้จะต้องรวบรวมความคิดของหลายฝ่าย แน่นอนว่า คนก็มีความคิดที่แตกต่างกัน การที่จะรวมความคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ใช่เรื่องง่าย อาตมาถึงพูดบ่อยๆ ว่าขอเอาใจช่วย พล.อ.ประยุทธ์ ใครนิมนต์อาตมาไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่าที่ไหน เจอประชาชนก็พูดฝากไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งใจทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน ต้องการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งตรงกับเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน เราก็เอาใจช่วย

กระบวนการหนึ่งที่อยู่ในโครงสร้างของการปฏิรูป  คือ การร่างรัฐธรรมนูญ แต่ตอนนี้มีคนออกมาต่อต้านโดยเฉพาะบทบัญญัติที่อาจจะลดทอนประชาธิปไตย
อาจจะไม่ใช่การลดทอนอำนาจของประชาชน แต่เป็นการกระทบกระเทือนอำนาจของนักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไปมากกว่า ถามว่าประชาชนถูกลดทอนอำนาจอะไรไหม อาตมายังไม่เห็น แต่พรรคการเมืองและนักเลือกตั้งทั้งหลายได้รับผลกระทบ เป็นเรื่องธรรมดาที่นักเลือกตั้งทั้งหลายต้องออกมาแสดงความไม่พอใจ แต่ว่าอาตมาเข้าใจดี รู้เช่นเห็นชาติเพื่อนนักการเมือง สำหรับอาตมาวันนี้ลาออกจากพรรคการเมืองมาแล้วและออกมาสู้กับประชาชนและประกาศว่าไม่กลับไปรับเลือกตั้งอีกแล้ว ไม่ลงไปแข่งกับใครอีกแล้ว

กระแสข่าวที่ว่าท่านจะไปตั้งพรรคการเมืองกับทหารเป็นความจริงหรือไม่
ยังไม่เคยได้ยินเลยว่าทหารจะไปตั้งพรรคการเมืองและอาตมายังไม่เคยคิดที่จะตั้งพรรคการเมือง ขอตอบว่าตอนนี้ยังไม่มี วันนี้เป็นพระ มีความสุขอยู่กับการบวชและยังไม่คิดที่จะออกไปตั้งพรรคการเมือง ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องการกลับไปสู่สนามเลือกตั้งอีกแล้ว แต่ยังไม่ทิ้งการเมือง จะทำการเมืองภาคประชาชนโดยจดทะเบียนเป็นมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยไว้แล้ว อาตมาอยากจะชวนคนมาทำการเมืองภาคประชาชนให้แข็งแรง คอยคุมเชิงดูแลไว้ อย่าให้คนไม่ดีทั้งหลายมาปกครองบ้านเมือง

ในฐานะที่ท่านทำงานการเมืองมานาน เห็นการยึดอำนาจมาแล้วหลายครั้ง ท่านมองว่าในอนาคตสังคมไทยจะเห็นการยึดอำนาจอีกหรือไม่
ถ้าเราปฏิรูปการเมืองคราวนี้ได้สำเร็จ เขียนรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้ดี โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็น้อย อาตมาคุ้นเคยกับทหารพอสมควรในช่วงที่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็รู้ดีว่า มันยากลำบากที่ต้องแบกภาระประเทศชาติ อย่าไปมองภาพทหารที่ออกมาปฏิวัติเหมือนสมัยก่อนๆ มันคนละอย่าง

วันนี้อาตมาพูดด้วยความรู้สึกอย่างจริงใจ พูดในขณะที่เป็นพระ อาตมามองว่าคณะรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ต่างจากคณะก่อน คนละวิธีการ คนละวัตถุประสงค์ ถ้าโยมไปดูแม้กระทั่งตอนออกมายึดอำนาจก็นุ่มนวล ไม่ได้เอารถถัง ปืนใหญ่ออกมาขู่เข็ญใคร เขาทำเพื่อบ้านเมือง อาตมาเชื่อว่าคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ พูดจริง รักษาคำพูด

                           

<"">


ข่าวที่เกี่ยวข้อง