2 แกนนำนปช.กับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อพิสูจน์กระบวนการยุติธรรม
ก่อนหน้านี้แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แสดงจุดยืนและเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยเจตนาต่อต้านรัฐประหารและระบบเผด็จการ ทั้งกรณีรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเฉพาะการชุมนุม "แดงทั้งแผ่นดิน" 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 ภายใต้ข้อเรียกร้องที่ว่า "สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำ กระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐาน" จนบทสุดท้าย..กลายเป็นเหตุวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำ นปช. ที่แม้วันนี้จะผันตัวเองเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ทั้งที่มีคดีความอาญาติดตัว แต่ก็ยืนยันว่า ทำใจยอมรับได้กับสภาพความเป็นจริง หลังนำมวลชนเคลื่อนไหวต่อสู้ตามข้อเรียกร้องประชาธิปไตย พร้อมกล่าวย้ำที่จะไม่รับประโยชน์จากผลพวงของการนิรโทษกรรม
แต่บทเรียนครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในเหตุวิกฤตการเมืองปี 2553 นั้น แกนนำ นปช. ทั้งสองเห็นว่า ประเทศหรือบ้านเมืองในปัจจุบันยังไม่เป็นระบบหรือระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หากแต่ภาคประชาชนมีความตื่นตัวในการออกมาปกป้องสิทธิและเสรีภาพของตัวเองมากขึ้น รวมถึงการต่อสู้และแสดงออกทางการเมือง กำลังกลายเป็นเรื่องสำคัญในบริบทของพลเมืองแล้ว จึงเชื่อมั่นว่า อนาคตข้างหน้าน่าจะเห็นความเป็นประชาธิปไตยขยายออกไปมากขึ้น
แกนนำนปช. ไม่เพียงนายณัฐวุฒิและนายจตุพร แต่ยังหมายถึงแกนนำและแนวร่วมคนสำคัญ อีก 22 คน รวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังต้องพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะฐานความผิดที่ว่าด้วยการก่อการร้าย ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่นับร่วมอีกร้อยกว่าคดี และผู้ชุมนุมอีกนับพันคน ที่ต้องเดินหน้าต่อสู้คดีความอาญา จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในอดีต