อะคาเดมี่ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีนักเตะรุ่นอายุ 11-19 ปี เกือบ 200 คน โดยการเปิดคัดเลือกนักเตะนั้นใช้หลักการคัดนักเตะจากการสัมผัสบอลจังหวะแรกที่ดี ซึ่งเป็นปรัชญาในการทำทีมของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ทั้งยังเชื่อว่า เป็นวิถีของฟุตบอลสมัยใหม่และเป็นหัวใจสำคัญของการทำฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จ นอกเหนือจากการเน้นฟิตเนส แท็คติก และความแข็งแกร่งของร่างกาย
สำหรับสก็อต คูเปอร์ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการอะคาเดมี่ของบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชุดใหญ่ ได้วางรากฐานการทำอะคาเดมี่เพื่อเป็นสากล
คูเปอร์ กล่าวว่า แนวทางการทำอะคาเดมี่ของบุรีรัมย์ คิดว่ามาถูกทางแล้ว พยายามทำให้เป็นมาตรฐานสากลเทียบเท่ากับหลายทีมในยุโรป หรือแม้แต่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ต้องสร้างนักเตะที่มีความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และดูแลในเรื่องการเรียน
เช่นเดียวกับแมนฯ ซิตี้ และแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีการทำ MOU ร่วมกับโรงเรียนให้นักเตะในอะคาเดมี่ได้ไปเรียน แต่ข้อดีของอะคาเดมี่บุรีรัมย์ต่างจากอังกฤษ เพราะนักเตะจะอาศัยอยู่ในอะคาเดมี่ภายใต้การดูแลของโค้ชตลอด 24 ชั่วโมง
นักเตะในอะคาเดมี่ทุกคนจะได้รับการกวดขันดูแลอย่างเข้มงวดจากสโมสร ระเบียบวินัยเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดสำหรับอะคาเดมี่ของบุรีรัมย์ นักเตะที่เข้ามาอยู่ในสโมสรจะต้องยอมรับและปฏิบัติตามกฎของสโมสร
เป้าหมายหลักของสโมสรบุรีรัมย์ในการสร้างนักเตะให้ได้มาตรฐานก็เพื่อส่งไปค้าแข้งในลีกของยุโรป โดยเฉพาะกับทีมในเซกุนก้าบี ดิวิชั่น 2 ของสเปน ซึ่งหากสามารถผ่านการทดสอบฝีเท้าและได้ค้าแข้งในเซกุนก้าบี นักเตะจะได้รับเวิร์ค เพอร์มิตทันที จะเป็นใบเบิกทางในการก้าวไปสู่การค้าแข้งในสโมสรอื่นของสเปน ซึ่งอะคาเดมี่ของบุรีรัมย์ มีบริษัทที่เข้าไปดูแลเรื่องการพัฒนาธุรกิจฟุตบอล และการส่งนักเตะไปค้าแข้งในยุโรป
ในอีก 2 เดือนข้างหน้าอะคาเดมี่ของบุรีรัมย์ จะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการดึงโค้ชจากต่างประเทศเข้ามาทำอะคาเดมี่โดยเฉพาะถึง 4 คน เนื่องจากนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ต้องการให้นักเตะไทย ซึมซับวัฒนธรรมการเล่น มีระเบียบวินัย มีความมุ่งมั่นที่เป็นมืออาชีพจากโค้ชต่างชาติ