สรุปการยื่นประมูลทีวีดิจิตอลมีผู้ยื่นเอกสารเข้าร่วมประมูล 29 บริษัท
กสทช.แบ่งกลุ่มประมูลช่องทีวีดิจิตอล ออกเป็น 4 ช่องรายการ รวมทั้งหมด 24 ช่อง การยื่นเอกสารของเอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูลตลอด 2 วันที่ผ่านมา มีรวมทั้งหมด 29 บริษัท ใน 40 ช่องรายการ ในจำนวนนี้ มี 5 บริษัท ยื่นเอกสารเพื่อต้องการประมูลสูงสุดบริษัทละ 3 ช่อง ตามเกณฑ์ที่ กสทช.กำหนด ได้แก่ ช่อง 3, ทีวีพูล, ช่อง 9, กลุ่มเนชั่น และ กลุ่มทรู คอร์เปอเรชั่น และมีอีก 9 บริษัท ที่ร่วมประมูล 2 ช่อง ได้แก่ วอซ์ ทีวี, กลุ่มเวิร์คพ้อยท์, กลุ่มนายแพทย์ประเสริฐ ปราสาททองโอสถ, ช่อง 7, กลุ่มอมรินท์, แกรมมี่, กลุ่มมหากิจศิริ, กลุ่มโมโนฯ และ ไทยรัฐ
ส่วนอีก 8 บริษัท ยื่นเอกสารร่วมประมูล 1 ช่อง ได้แก่ โรสมีเดีย, กลุ่มอินทัช, อาร์เอส, เดลินิวส์, 3เอมาร์เกตติ้ง, สยามกีฬา, โพสต์ทีวี และสปริงนิวส์
การยื่นเอกสารประมูลใน 2 วันนี้ ผู้ยื่นต้องวางเงินเป็นหลักประกันของมูลค่าราคาตั้งต้นในแต่ละกลุ่มที่ยื่นประมูล ซึ่งทำให้ขณะนี้ กสทช.ได้เงินส่วนนี้แล้ว 2,271 ล้านบาท
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ระบุว่า จำนวนผู้ยื่นเข้าร่วมประมูลอยู่ในเกณฑ์ที่ กสทช.ได้คาดการณ์ไว้ หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ และความถูกต้องของเอกสารที่จะเป็นผู้เข้าร่วมประมูลเพื่อประกาศรายชื่อเป็นผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมประมูลต่อไปภายใน 45 วัน หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการประมูลต่อไป
ขณะที่บริษัท จันทร์ 25 ของนางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ ขอถอนตัวจากการประมูลทีวีดิจิตอล โดยมอบหมายให้นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ที่ปรึกษากฎหมาย มาที่สำนักงาน กสทช.พร้อมแถลงการณ์สละสิทธิไม่ยื่นประมูลทีวีดิจิตอล โดยแถลงการณ์ ระบุชี้แจงเกี่ยวกับมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ เพราะนางสุรางค์ และ นายไพโรจน์ เปรมปรีดิ์ ยังคงถือหุ้นอยู่ในบริษัท กรุงเทพโทรศัพท์และวิทยุ จำกัด รวมกันประมาณร้อยละ 21
จากคุณสมบัติ กสทช.กำหนดลักษณะของผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันของผู้เข้าร่วมประมูล ในประเภทใบอนุญาตเดียวกัน ห้ามมีผู้ถือหุ้นร่วมกันเกินร้อยละ 10 เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทั้ง 2 บริษัท บริษัทจันทร์ 25 แสดงเจตนาขอถอนตัว แต่ยืนยันว่า จะทำธุรกิจในวงการโทรทัศน์ต่อไป รวมทั้งจะใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้น ติดตามการดำเนินงานและการปฏิบัติต่อพนักงานของบริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ