“วัฒนา” ยัน “ผมจะไปตามนัด” 18 เม.ย. จวกทหาร-ใครสัญญาจะไม่แสดงความเห็น

การเมือง
17 เม.ย. 59
15:45
94
Logo Thai PBS
“วัฒนา” ยัน “ผมจะไปตามนัด” 18 เม.ย. จวกทหาร-ใครสัญญาจะไม่แสดงความเห็น
วัฒนา เมืองสุข แกนนำเพื่อไทย โพสต์ข้อความยันไปพบทหารแน่ 18 เม.ย. จวกทหารอย่าอ้างคสช. กรณีกล่าวหาตนเองรับปากจะไม่แสดงความเห็นทางการเมือง ท้าหาเอกสารมายืนยัน

วันนี้ (17 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์รายงานว่า เวลาประมาณ 10.00 น. นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Watana Muangsook ระบุว่า “ผมจะไปตามนัด”

ผมได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คยืนยันว่า คสช. ไม่มีอำนาจควบคุมตัวผม เพราะการแสดงความเห็นของผมที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ต่อมาทีมโฆษก คสช. ได้เปลี่ยนข้อกล่าวหาใหม่ว่า ผมผิดข้อตกลงที่เคยลงนามไว้ ซึ่งผมก็ได้ส่งข้อตกลงมาให้ดูเป็นหลักฐานแล้วว่าไม่เป็นความจริง บัดนี้ ทีมโฆษก คสช. เปลี่ยนข้อกล่าวใหม่อีกว่า ผมผิดข้อตกลงที่มาพบเจ้าหน้าที่กว่า 4 ครั้งและได้ลงนามทำข้อตกลงแบบลูกผู้ชายไว้

ผมจำเป็นต้องตอบ คสช. เพื่อพิสูจน์ความจริงว่า ผมเป็นนักการเมืองที่มาจากประชาชน แม้จะไม่มีกำลังและอาวุธ แต่มีเกียรติและศักดิ์ศรีที่จะไม่กล่าวคำเท็จเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เมื่อ คสช. ยึดอำนาจการปกครอง ผมถูกควบคุมตัว 3 วัน ผมได้ลงนามทำข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่เพียงครั้งเดียวตามเอกสารที่โพสต์มาให้ดูแล้ว จากนั้นผมถูกนำตัวไปปรับทัศนคติ เพราะการแสดงความเห็นอีก 3 ครั้ง ทุกครั้งก่อนปล่อยตัวผมไม่เคยลงนามว่า จะไม่แสดงความคิดเห็น

ท่านกล่าวหาผมในนาม คสช. จึงต้องมีหลักฐานไม่ใช่กล่าวหาลอยๆ ผมเตือนความจำให้ว่า ครั้งแรกผมถูกเรียกไปที่กองทัพภาค 1 ส่วนครั้งที่ 2 และ 3 ถูกควบคุมตัวที่ มทบ.11 กรุณาเรียกหลักฐานข้อตกลงที่อ้างจากหน่วยที่ควบคุมตัวผมมายืนยัน เพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษและความเป็นทหารของผู้กล่าวหา

 

ผมจะไปพบ คสช. ในวันจันทร์ที่ 18 เมษายน เวลา 11.00 น. ตามนัด แต่ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมายและไม่เคยทำผิดข้อตกลง คสช. จึงไม่มีอำนาจมาควบคุมตัวผม อีกทั้งผมไม่ยินดีและไม่รับเชิญที่จะไปพูดคุยใดๆ กับ คสช. หากผมต้องไปก็ด้วยถูกกำลังบังคับอันเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจที่ผมไม่อาจขัดขืนได้ ผมยืนยันว่าการจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นขัดกับมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ คสช.เป็นผู้ขอพระราชทานมาใช้บังคับเอง และยังขัดกับข้อ 19 แห่ง "ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน" (The Universal Declaration of Human Rights) ของสหประชาชาติที่ประเทศไทยรับรอง (endorsement) พร้อมกับอีก 48 ประเทศมาตั้งแต่ พ.ศ. 2491 จึงเป็นพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม นอกจากนี้การนำตัวผมไปควบคุมโดยมีข้ออ้างเป็นการปรับทัศนคติ ยังขัดกับข้อ 5 และข้อ 9 ของปฏิญญาดังกล่าวที่ห้ามย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ อันถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ (crime against humanity) อีกด้วย

ผมเพียงแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริตบนความหวังดีต่อบ้านเมือง จึงไม่ใช่เรื่องการท้าทายอำนาจของ คสช. และไม่ใช่การกระทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เพื่อให้เกิดการก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร ผมต่อสู้แบบสันติและอหิงสาเพื่อต้องการให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์บนหลักนิติธรรม ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นถนนที่นำพาประเทศชาติไปสู่ความปรองดองอย่างยั่งยืน คสช. อาจใช้กำลังบังคับหรือคุมขังผมได้ แต่จะเปลี่ยนความเชื่อและความศรัทธาที่ผมมีต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยไม่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง