วันนี้ (6 พ.ค.) น.ส.พรรณี ศรียุทธศักดิ์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีโรงงานทำพลุระเบิดที่ต.พลับพลาชัย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า เช้าวันนี้(6 พ.ค.) เจ้าหน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในพื้นที่ ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว และได้รายงานข้อมูลว่า โรงงานทำพลุแห่งนี้ไม่มีบ้านเลขที่ มีแรงงานเมียนมาเสียชีวิต 6 คนเป็นชาย 2 คนและหญิง 4 คน ซึ่งทุกคนมีเอกสารประจำตัวทุกคนคือ 1. Mr.thet Paitun ถือหนังสือเดินทางหมดอายุ 25 มิ.ย.2558 2.นางเต็ง เต็ง ยี ถือบัตรบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสัญชาติไทยหรือบัตรชมพูหมดอายุ 31 มี.ค 2559 3.นายโซ ถือบัตรชมพูหมดอายุ 31 มี.ค 2559 4.หญิงไม่ทราบชื่อ(ภาษาพม่า) ถือบัตรประจำตัวที่ทางการเมียนมาออกให้ 5.นางเมน่วยโซ 6.นางมีหน่วยซู โดยทั้งสองคนนี้ ถือบัตรแสดงตนบุคคลต่างด้าว เพื่อใช้แรงงานภาคการเกษตร แต่ไม่ทราบหน่วยงานที่ออกบัตร
อธิบดีกสร. กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กสร.ด้วยว่า บ้านและที่ดินเกิดเหตุเป็นของนายทหารนอกราชการนายหนึ่ง ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดว่า ผู้ใดเป็นคนนำแรงงานต่างด้าวทั้ง 6 ราย เข้ามาพักอาศัยและทำงานอยู่ในบ้านหลังที่เกิดเหตุ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะสอบสวนผู้กระทำผิด ต่อไป และติดตามตัวเจ้าของโรงงานทำพลุมาสอบสวนต่อไป ส่วนสาเหตุการระเบิดนั้น เจ้าหน้าที่คาดว่าแรงงานเมียนมาผลิตพลุโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขณะที่สารเคมีที่ใช้ทำพลุเป็นสารโปรแตสเซียมไนเตรท ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายนั้นตามพ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานพ.ศ.2554 กำหนดให้ผู้ครอบครองสารเคมีอันตรายต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่กสร.ในพื้นที่ จะตรวจสอบว่าได้แจ้งหรือไม่ หากไม่แจ้งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 4 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้กสร.จะตรวจสอบตามมาตรา 14 พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ กรณีไม่แจ้งอันตรายให้ลูกจ้างทราบ โทษปรับ 50,000 บาท มาตรา 16 กรณีไม่มีการอบรม โทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 34 ถ้านายจ้างไม่แจ้งการเกิดอุบัติเหตุและรายงานอุบัติเหตุ ภายใน 7 วัน มีโทษปรับ 50,000 บาท หากไม่ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ก็จะเอาผิดตามกฎหมาย ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กสร.ทุกพื้นที่เฝ้าระวังและตรวจสอบสถานประกอบการ 3 กลุ่มคือ กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มที่อาจจะเกิดอัคคีภัยและกลุ่มสารเคมีอันตราย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาทั้งสถานประกอบการ 3 กลุ่มนี้มีสถิติประสบอันตรายสูง
ว่าที่ร.ต.สุพีร์พัฒน์ จองพานิช ผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่มีความเชื่อมโยงกับเหตุที่เคยมีการจับกุมและปรับผู้ประกอบการรายเดียวกันแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยทราบชื่อว่านายสายธาร ไม่ทราบนามสกุล มีบ้านอยู่พื้นที่ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการติดตามตัวอยู่
ผู้ว่าฯ สุพรรณบุรีกล่าวอีกว่า การประกอบประทัดดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตจากอำเภอ และลักลอบประกอบในพื้นที่ของบุคคลอื่นในเวลากลางคืน อีกทั้งการจัดทำซื้อขายประทัดที่ใช้สำหรับไล่นกแบบนี้ เป็นสิ่งไม่ถูกกฎหมาย ทางจังหวัดจึงไม่ได้นิ่งนอนใจ กำชับให้ทุกพื้นที่กวดขันมากขึ้น ส่วนโทษส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะเป็นการปรับ แต่ในกรณีนี้มีผู้เสียชีวิต จึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา และจะต้องวางมาตรการในพื้นที่ให้เข้มงวดมากขึ้น