บทสัมภาษณ์ “โหน่ง-วงศ์ทนง” ที่ไม่มีใน THE MOMENTUM

สังคม
21 ก.พ. 60
13:39
1,095
Logo Thai PBS
บทสัมภาษณ์ “โหน่ง-วงศ์ทนง” ที่ไม่มีใน THE MOMENTUM

บางส่วนของคำสัมภาษณ์ โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ผู้ก่อตั้งนิตยสาร a day
ในวันที่ยื่นหนังสือลาออกจากบริษัท เดย์ โพเอทส์ที่ตัวเองก่อตั้ง ( 17 ก.พ.60 )
ครั้งนี้ เขาพูดถึงการตั้งบริษัทใหม่ที่จะมีนายทุนใหม่มาร่วมลงทุน รวมถึงผู้ลงขัน a day 459 คน ที่จะนำพาไปถือหุ้นในบริษัทใหม่ด้วย


“เปิดเผยไม่ได้ครับ เขายังไม่อยากเปิดเผย แต่เป็นคนที่อยากสนับสนุนคนทำงานสื่อให้ได้ทำงาน มีเงินแต่ไม่ได้คิดมาก”

วันที่ 17 ก.พ.เกิดอะไรขึ้น

เช้าวันที่ 17 ก.พ. ผมประกาศลาออกจากบริษัทเดย์โพเอทส์ที่ผมตั้งขึ้นมา เหตุผลสำคัญเกิดจากเรื่องที่ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา สาธารณชนได้รับรู้การที่มีข่าวว่าบริษัทผมขายหุ้นให้กับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์บริษัทหนึ่งด้วยวิธีการที่สังคมตั้งคำถาม ผมก็ยืนยันว่าผมไม่รู้เรื่องดีลนี้ตั้งแต่ต้น ไม่รับรู้ ไม่เห็นด้วย ไม่เอา และประกาศไว้ในการสัมภาษณ์ว่าถ้ามีดีลนี้เกิดขึ้นผมจะลาออกและวันนั้นก็มาถึง


ซึ่งมันกินเวลาประมาณเดือนสองเดือน

เกือบ 2 เดือน 

มันเกิดอะไรขึ้นในเดือนสองเดือนจนถึงวันนี้


ข่าวนี้ผมได้ทราบครั้งแรกจากทวิตเตอร์ของโพสต์ทูเดย์วันที่ 27 หรือ 28 ธันวาคม ไม่แน่ใจแต่ว่าก่อนปีใหม่ ผมก็แปลกใจ ทราบข่าวว่าบริษัทผมได้ขายหุ้น 70%ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผมก็แปลกใจเพราะผมไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน พอถามกับผู้ถือหุ้นใหญ่ เขาก็ได้คำตอบว่า ไม่มีอะไรเป็นเรื่องปกติ เป็นดีลทางธุรกิจธรรมดา เดี๋ยวเราก็ได้เงินมาทำงาน ผมก็โอเค ไม่คิดอะไร จนกระทั่งต่อมาสำนักข่าวอิศราได้เปิดเผยข้อมูลของดีลครั้งนี้ซึ่งมันมีความเชื่อมโยงหลายอย่าง ซึ่งผมอ่านแล้วไม่ค่อยสบายใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีข้อมูลบางอย่างที่ตอบได้ไม่ชัดเจน ผมก็เลยเกิดความคิดว่าคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าเราไปเกี่ยวข้องเพราะว่าเราเป็นบริษัททำสื่อ คนทำสื่อถ้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตอบคำถามสังคมได้ไม่ชัดเจนเสียแล้ว ผมว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ไม่น่าจะดี เราจะขาดความน่าเชื่อถือไปในทันที ประกอบกับช่วงนั้นเริ่มมีข่าวมาแล้ว พุ่งมาที่ตัวผมว่าผมเป็นตัวการในการทำดีลนี้ ผมมีส่วนได้ส่วนเสียกับดีลมูลค่า 308 ล้านนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ผมก็เลยออกมาประกาศว่าผมไม่เห็นด้วย ผมไม่เอาและถ้ามีดีลนี้เกิดขึ้นผมจะลาออก


แต่มันก็กินเวลาประมาณเดือน 2 เดือนแสดงว่าระหว่างนั้นตกลงกันไม่ได้ ?


ข่าวเรื่องนี้มันออกมาเป็นระยะ ข้อมูลเบื้องหลังของดีลทยอยออกมา มันไม่ใช่ออกมาทีเดียว ผมก็เป็นคนนึงที่ติดตามข่าวจากสำนักข่าวอิศรา มันใช้เวลาประมาณเดือนกว่าๆ พอผมแน่ชัดแล้วว่ามันไม่น่าจะดีที่บริษัทผมจะไปเกี่ยวข้องกับดีลนี้ ผมก็เลยเปิดเจรจากับผู้ถือหุ้นใหญ่ครับว่าผมไม่อยากได้ดีลนี้เป็นระยะ


หมายถึงคุณสุรพงษ์ (เตรียมชาญชัย) เอง

ใช่ครับ


อนาคตหลังจากนี้ ของ a day และ THE MOMENTUM


ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ผลน่าจะถึงสิ้นเดือนนี้ ผมก็อยู่บริษัทถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์แล้วก็ลาออก ผมกับคุณนิติพัฒน์ (สุขสวย) ผู้ก่อตั้งอะเดย์มาด้วยกัน ส่วนนิตยสารต่างๆ สิ่งพิมพ์ต่างๆ ในเครือรวมทั้งคอนเท้นต์ออนไลน์อย่างเดอะโมเมนตัมที่เพิ่งทำเนี่ย ก็คงดำเนินการต่อไปสักระยะหนึ่งเนื่องจากว่าแต่ละดีพาร์ทเม้นท์เขาก็มีดีลทางธุรกิจกับลูกค้าอยู่ พูดง่ายๆ ก็ต้องเทคแคร์ลูกค้าหน่อย ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งงานแล้วก็ออกกันไปหมด ผมว่าก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ดูไม่เป็นมืออาชีพ เบื้องต้นผมกับคุณนิติพัฒน์ออกก่อน แต่หลังจากนั้นผมเปิดโอกาสให้คนทำงานทุกคนได้ตัดสินใจเองว่าเลือกที่จะทำงานต่อไปหรือจะออกมาทำงานกับผม


แสดงว่าอาจมีความไม่แน่นอนหรือเปล่า ถ้าพูดแบบนี้


ผมยังตอบไม่ได้จริงฮะ แล้วแต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ว่าเขาจะทำต่ออีกนานแค่ไหน อีกเหตุผลหนึ่งก็คือแล้วแต่คนทำงานว่าอยากทำต่ออีกนานแค่ไหน


มันก็เหมือนเป็น accident ประมาณหนึ่ง หลังจากเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่


เสียดายเหมือนกันเพราะว่า THE MOMENTUM ผมเป็นคนคิดชื่อ ผมทำมาตั้งแต่วันแรก แล้วคนที่ทำงานด้วยกันเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งๆ มากๆ ยอดฝีมือทั้งนั้นเลย แล้วทำจนมันขึ้นมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก็เสียดาย


ตามรายงานข่าวของสำนักข่าวอิศราที่มีการวางเงินมัดจำดีลนี้ประมาณ 100 ล้านแล้ว ถ้าพี่โหน่งตัดสินใจแบบนี้ แสดงว่าดีลนี้เขาจะเดินหน้าต่อแน่นอน


อย่างที่บอก ผมก็ได้ยินว่าเงินมัดจำออกมาแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เท่ากับดีลนี้ดำเนินมาแล้วประมาณหนึ่ง คุยกันครั้งล่าสุดผมเข้าใจว่าเขาคงดำเนินดีลนี้ต่อไปแต่ในลักษณะไหนผมไม่แน่ใจ แต่ดีลนี้ไม่ได้หยุดแค่นี้แน่ๆ แต่เหนือกว่านั้นผมคิดว่าคือผมอยากจะเคลียร์ตัวเองด้วยว่าผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ ผมไม่ได้มีส่วนได้เสียในเงิน 308 ล้านบาทนี้แม้แต่บาทเดียว วิธีที่เคลียร์ที่ดีที่สุดก็คือผมลาออก


ซึ่งแม้แต่ลาออกแล้วก็ยังมีคนตั้งคำถามไหม


มีคนตั้งคำถามว่าได้เงินเข้ากระเป๋าแล้ว คนจะคิดอะไรก็คิดได้หมด ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันคือการแสดงความบริสุทธิ์ใจคือการเคลียร์ตัวเองที่ชัดที่สุดแล้ว ส่วนใครจะคิดอะไร ผมว่าไม่ได้เป็นปัญหาของผมแล้วแต่เป็นปัญหาของเขา


เรื่องมาถึงจุดนี้ แสดงว่ามันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วใช่ไหม


ผมว่าระหว่างที่เกิดเรื่อง มันทำให้ผมได้ทบทวนชีวิตตัวเองว่าจริงๆแล้วเราอยากทำงานในโซลูชั่นแบบไหน ในสภาพแวดล้อมยังไง ผมก็ได้คำตอบกับตัวเองว่าการอยู่ในบริษัทใหญ่อาจจะไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุขเท่าไหร่ บริษัทที่เราไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง เรื่องสัดส่วนของหุ้น


ถ้าดีลธุรกิจกัน เราจำเป็นจะต้องรู้จักคนที่เราหุ้นด้วยประมาณหนึ่งหรือเปล่า ในกรณีของคุณสุรพงษ์ในตลาดหลักทรัพย์


ในชีวิตผมไม่เคยเล่นหุ้นสักตัวเดียว ผมไม่เคยเล่นหุ้น ผมไม่มีหุ้นสักตัวนึงเลย ผมไม่สนใจด้วย รู้สึกว่าไม่ใช่ทางของผม ผมชอบฝากเงินในธนาคารออมสินกับ ธกส.


ซึ่งอาจไม่จำเป็นจะต้องเล่นหุ้นแต่ถ้าติดตามข่าว


ตอนนั้นที่ได้รู้จักกัน เราเคยร่วมงานกันในตอนต้นนะครับ ผมจำได้ว่าเราเคยทำ a day ฉบับสยามแสควร์ ตอนนั้นบริษัททราฟฟิกฯ ทำอีเว้นท์ครบรอบสยามแสควร์ 36 ปี แล้วเราทำด้วยกัน ผมคุยดูแล้วผมรู้สึกว่าทั้งทั้งคุณสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ตอนนั้นคุณวินิจ เลิศรัตนชัยด้วย น่ารักดี เป็นพี่ที่น่ารักดี แฟร์ๆ แฟรงก์ๆ คุยกันภาษาเดียวกัน น่าจะสนุกดีที่ทำงานด้วยกัน แต่ไม่ได้คิดหรือรู้ว่าเขาจะเป็นนักธุรกิจอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือว่าเล่นหุ้น ไม่สนใจครับ เพราะตอนนั้นก็มีหลายบริษัทที่จะร่วมลงทุนกับเรา ผมก็ไปคุยกับทุกที่แต่รู้สึกว่าผมอยากทำงานกับคนที่ทำแล้วสบายใจมากกว่า


วันนี้ให้สัมภาษณ์สื่ออื่นครั้งแรกในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา แสดงว่าตกลงไปด้วยกันไม่ได้แล้วหรือคุยกันมีแตกหักเรียบร้อยแล้ว ?


ไม่เลยครับ เราเพิ่งคุยกันเมื่อวาน (16 ก.พ.60) เชื่อไหมครับว่าเป็นการคุยที่ดีมากเลย คุยแบบเข้าอกเข้าใจกัน ต้องอธิบายก่อนครับว่า 10 กว่าปีที่เราอยู่ร่วมกันคุณสุรพงษ์ก็ดูแลพวกเราดีมากเลย นี่ผมยืนยัน คือ 10 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัทผมแบบไม่ได้ทำกำไรมาได้ตลอด พูดง่ายๆ ผมทำอะไรที่เจ๊งก็ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่น a day weekly ทำให้บริษัทเจ๊งไปหลายสิบล้าน ส่งผลกระทบกับอะไรหลายอย่างในบริษัท พนักงานไม่ได้ขึ้นเงินเดือน โบนัสไม่มีอยู่หลายปี แต่ว่าขาก็ยังดูแลเรา เติมเงินให้ อำนวยความสะดวกให้เราทำงานได้อย่างสบายใจ แม้กระทั่งก่อนเกิดเรื่องนี้ เราก็ยังเลี้ยงปีใหม่บริษัทกันอยู่เลย คือความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณสุรพงษ์มันไม่ใช่เจ้านายและลูกน้อง มันเหมือนพี่ๆ น้องๆ แล้วเขาก็ค่อนข้างให้อิสระเราในการทำงานมาก นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ผมเลือกอยู่กับเขาตั้งแต่วันแรกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว จนกระทั่งมาถึงเมื่อวานที่เราคุยกันก็เป็นไปอย่างเข้าใจกัน โดยส่วนตัวเราไม่ได้แตกหักกัน เราไม่ได้เกลียดกัน แต่ว่าในเรื่องวิถีทาง เราเชื่อกันคนละแบบ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือเราแยกกันเดินดีกว่ามั๊ง


ตามรายงานที่มีการตีมูลค่าหุ้นของอะเดย์สูงถึงหุ้นละ 600 กว่าบาท พี่ก็รู้สึกแบบนั้นไหมว่าราคาไม่น่าจะสูงถึงขนาดนั้น


ตรงมูลค่ามันไม่ได้เป็นเหตุผลมากเท่ากับลักษณะของดีล ที่มาที่ไป ที่ฝากตรงโน้นตรงนี้ คงทราบข้อมูลดี ผมรู้สึกว่าตรงนั้นมันอธิบายไม่ได้


ได้ถามคุณสุรพงษ์ไหมคะที่คุยกันเมื่อวานนี้


ไม่ถามครับเพราะเรื่องนี้มันก็เหมือนเป็นวิถีทางของคนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มั้งครับ บางคนก็บอกผมด้วยซ้ำว่าเขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น แต่ผมรู้สึกว่าคนอื่นอาจจะไม่คิดแต่ผมคิด


เป็นเพราะหนังสือหรือสื่อที่เราทำขายอิมเมจประมาณหนึ่งหรือเปล่า


ผมว่ามันขายความน่าเชื่อถือมากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อบางตัวในบริษัทผม ยกตัวอย่างเช่น a day BULLETIN หรือว่า THE MOMENTUM ซึ่งเป็นสำนักข่าว คนทำข่าวพื้นฐานสำคัญมากๆ ก็คือมันต้องเชื่อถือได้ ถ้าเราขาดความน่าเชื่อถือเสียแล้ว ทุกอย่างมันจบเลย นี่เป็นเรื่องที่ผม concern ที่สุด


แล้วพอเกิดเรื่องขึ้น THE MOMENTUM ได้ทำประเด็นนี้ไหม นอกจาก Facebook Live พี่โหน่งวันนั้น


อืม ไม่ได้ทำ เพราะ THE MOMENTUM มีเรื่องต้องทำเยอะและเรื่องนี้ถ้าทำไปก็เป็นเทคไซด์ เป็น bias อย่างที่ผมโดนว่าใช้สื่อตัวเองในการประชาสัมพันธ์ ผมเพียงต้องการแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง


ตอน Facebook Live มีประเด็นพูดเรื่องจะซื้อบริษัทคืน


คือมันมีเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอีก ผมเจรจาขอซื้อบริษัทคืนก่อน ได้คุยกัน 2 รอบ ปรากฏว่าราคาที่เสนอมาผมไม่สามารถจริงๆ มันเป็นราคาที่สูงมาก ก็เข้าใจว่าเขาต้องขายในราคาที่มันปรากฏในตลาด สูงมากและผมไม่มีเงินขนาดนั้น ดังนั้นก็เลยตัดสินใจว่าคงไม่ซื้อบริษัทของตัวเองเพราะว่าซื้อไม่ไหว ก็ตัดสินใจที่จะตั้งบริษัทใหม่ของตัวเอง แต่ความตั้งใจของผมคืออยากจัดสรรโครงสร้างการถือหุ้นใหม่


คือที่ผ่านมาบริษัทผมเกิดจากการร่วมลงขันอย่างที่ทราบกัน crowdfunding เมื่อ 16 ปีที่แล้ว แต่ว่าด้วยความที่สัดส่วนของหุ้นถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในระยะเวลาที่ผ่านมา มันทำให้สัดส่วนของผู้ร่วมลงขันแต่แรกมันไม่ชัดเจน ผมก็เลยถือโอกาสนี้ที่จะตั้งบริษัทใหม่ ผมจะให้ผู้ร่วมลงขันแต่แรกทั้ง 459 คน ถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ในบริษัทใหม่
สัดส่วนล่าสุดที่ออกมาเป็นผู้ลงทุนรายใหม่ 45 ผมกับคุณนิติพัฒน์ 45 แต่ว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือผู้ร่วมลงขันยังเป็นปริมาณ 10 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม


แสดงว่าก็ต้องหานายทุนใหม่ แล้วมันจะหลีกพ้นจากวงโคจรเดิมไหม


สัดส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นมันแสดงให้เห็นว่าฝั่งผม ฝั่งพวกเราเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เพราะฉะนั้นอำนาจในการตัดสินใจอะไรต่างๆ อยู่ที่เรา อีกอย่างหนึ่งก็คือผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ ผมได้พูดคุยแล้ว


ใคร บอกได้ไหมคะ


เปิดเผยไม่ได้ครับ เขายังไม่อยากเปิดเผย แต่เป็นคนที่อยากสนับสนุนคนทำงานสื่อให้ได้ทำงาน มีเงินแต่ไม่ได้คิดมาก

 

บทสัมภาษณ์ : อรพิน ลิลิตวิศิษฎ์วงศ์ โปรดิวเซอร์ สำนักเครือข่ายสื่อสาธารณะ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส


หมายเหตุ: โปรยติดตามเพิ่มเติมได้ในรายการ Backpack Journalist เร็วๆนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง