ตำรวจปราบปรามยาเสพติดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบภายในที่ตั้งของบริษัทแห่งหนึ่ง ใน อ.สะเดา จ.สงขลา เนื่องจากพบว่าการจัดตั้งบริษัทนี้มีธุรกรรมทางการเงินต้องสงสัย และคาดว่าเป็นการนำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาฟอกเงินตั้งเป็นธุรกิจหลายชนิด
บริษัทที่พบความผิดปกติในอำเภอสะเดามีอยู่ 14 บริษัท ทั้งธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ โดยมีนักธุรกิจชาวมาเลเซียเข้ามาถือหุ้นร้อยละ 49 ส่วนที่เหลือใช้ชื่อคนไทยร่วมหุ้นส่วนอยู่ เนื่องจากการทำธุรกิจในไทยต้องมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นเกินครึ่งหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาบริษัทดังกล่าวแจ้งกรมสรรพากรว่าบริษัทขาดทุน ทำให้ไม่ต้องเสียภาษี แต่ในปี 2558 ยังพบว่าตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีมูลค่าเงินหมุนเวียนกว่า 10,000 ล้านบาท
พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า ชายคนดังกล่าวมีพฤติกรรมต้องสงสัยในขบวนการค้าไอซ์ข้ามชาติ และหลังจากได้เงินมาแล้วจะนำเข้ามาฟอกเงินกับบริษัทที่เปิดไว้บังหน้า ซึ่งถือว่าเป็นขบวนการที่ใหญ่มาก
การลำเลียงเงินเข้ามาในประเทศของเครือข่ายนี้ ยังพบว่ามีผู้ที่ทำหน้าที่นำเงินสดสกุลเงินต่างประเทศจากประเทศไต้หวัน เข้ามาที่ด่านศุลกากรสุวรรณภูมิ และจะส่งให้เครือข่ายที่มารอรับเงินที่สนามบินนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทยและจะนำไปใช้จ่ายในระบบตามปกติ ซึ่งข้อมูลของตำรวจพบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีการนำเงินเข้ามาในลักษณะนี้อย่างน้อย 3,000 ล้านบาท
ตามระเบียบของกรมศุลกากรระบุเพียงว่าสามารถนำเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาเข้ามาในไทยได้แต่หากเกิน 20,000 ดอลล่าร์ฯ หรือประมาณ 700,000 บาท จะต้องสำแดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร และจะต้องนำเงินมาแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาท หรือฝากเข้ากับธนาคารในประเทศไทย ภายใน 360 วัน ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกลุ่มเครือข่ายผู้ต้องหามักจะใช้ช่องว่างเหล่านี้ในการลักลอบนำเงินที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่ผิดกฎหมายมาทำให้ถูกกฎหมาย และยากต่อการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ เพราะนำเงินเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย