วันนี้ (18 ก.ย.2561) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดโครงการชุมชนไม้มีค่า ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตัวเอง หลังจากคณะรัฐมนตรี อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ที่กำหนดให้ไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ และอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ป่าไม้ ให้ไม้ทุกชนิดในที่ดินกรรมสิทธิ์ ไม่เป็นไม้หวงห้าม การทำไม้ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่อีกต่อไป เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเห็นผลเร็วขึ้น
โดยเตรียมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กรมป่าไม้ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานที่ความเกี่ยวข้อง เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการดำเนินโครงการชุมชนไม้มีค่ามีเป้าหมาย ให้เกิดชุมชนไม้มีค่า 20,000 ชุมชน ใน 10 ปี มีผลต่อประชาชน 2.6 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนละ 400 ต้น รวมจำนวน 1,000 ล้านต้น จะได้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 26 ล้านไร่ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 1 แสนล้านบาทต่อปี
มอบสิทธิ์ทำกินในเขตป่าอีก 3 หมื่นไร่
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือทส. กล่าวว่า การลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ของพล.อ.ประยุทธ์ ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลด้วยการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยใน 4 พื้นที่ รวม 3 จังหวัด เนื้อที่กว่า 30,088 ไร่ ชาวบ้านได้รับประโยชน์ 380 คนรวม 491 แปลง
โดยครอบคลุมพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าสองฝั่งลำน้ำแควน้อย จ.พิษณุโลก ป่าสงวนแห่งชาติป่าลุ่มน้ำป่าสักฝั่งซ้าย และป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยน้ำโจน และป่าวังสาร จ.เพชรบูรณ์ และป่าสงวนแห่งชาติป่าพานพร้าวและป่าแก้งไก่ จ.หนองคาย ทั้งนี้ การจัดสรรที่ดินทำกินให้เข้าใช้ประโยชน์จะช่วยให้ชาวบ้านสามารถอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ของรัฐได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และลดความขัดแย้งระหว่างรัฐและประชาชนเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรที่ดินด้วย
พร้อมกันนี้ ยังได้กำหนดพื้นที่รับมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนรอบพื้นที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ใน 10 จังหวัด รวม 10 พื้นที่ รวมเนื้อที่กว่า 21,369 ไร่ คือ อุดรธานี หนอง คาย บึงกาฬ เลย หนองบัวลำพู ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่า