วันนี้ (30 ม.ค.2562) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลการประชุมสรุปการบังคับใช้กฎหมายควบคุมฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กทม.โดยประกาศควบคุมมลพิษทางอากาศ โดยจะอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 28/1 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ.การสาธารณสุข ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ พ.ศ. 2561 บังคับใช้ครบทั้ง 50 เขตที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ติดต่อกัน 3 วัน
ให้โรงเรียนในสังกัด กทม.ทั้ง 437 แห่ง ปิดการเรียนการสอน ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ส่วนวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. ให้หยุดเรียนเต็มวัน เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาฝุ่นละออง
ส่วนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า นายกรัฐมนตรี ประสานให้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ สั่งการให้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปิดเรียนวันที่ 31 ม.ค.- 1 ก.พ.นี้
ทั้งนี้ เมื่อประกาศคุมมลพิษทางอากาศแล้วจะออกมาตรการต่างๆ มาควบคุมมลพิษจากฝุ่นละอองจากแหล่งกำเนิด เช่น จะประสานคุมการจราจรในพื้นที่ กทม. และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม ต้องสั่งให้กรมการขนส่งทางบก ควบคุมการจราจรและตรวจสอบรถยนต์ควันดำอย่างเข้มข้น
นอกจากนี้จะลงนามให้ ผอ.เขตทุกเขต ใช้บุคลากรทุกเขตไปตรวจโรงงานที่ก่อมลพิษ และจะขอความร่วมมือ เช่น อาจจะเปลี่ยนเวลาเปิดโรงงาน 09.00 น. เป็นต้น
สั่งคุมมลพิษก่อสร้างอาคารเขตเมือง
ด้านนายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำหรับปัญหาแหล่งกำเนิดฝุ่นที่มาจากก่อสร้างใน กทม.จะนำร่องควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากโครงการก่อสร้างในเมืองชั้นในที่มีปัญหาค่า PM 2.5 เกินมาตรฐานตามที่กำหนด โดยจะเชิญเจ้าของอาคาร ผู้ประกอบการก่อสร้าง ประชุมและขอความร่วมมือกำหนดมาตรการควบคุมฝุ่นละออง ในวันที่ 1 ก.พ.นี้ เช่น พื้นที่เขตปทุมวัน เขตวังทองหลวง และพื้นที่ที่มีโครงการก่อสร้าง จะต้องมีมาตรการลดฝุ่น เช่น การมีผ้าใบปิด ฉีดพ่นละอองน้ำบนตึก
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ห้ามนำรถเครื่องยนต์ดีเซลที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐานมาวิ่งบนท้องถนน ห้ามเผาในที่โล่งทุกประเภทในพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ ต้องปฏิบัติตามมาตรการลดฝุ่นละอองจากกิจกรรมการก่อสร้างอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องรายงานผลการดำเนินงานตามประกาศพื้นที่ควบคุมให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบภายใน 3 วัน และหากมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
