"พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ถึงแก่อสัญกรรม ประธานองคมนตรี 2 แผ่นดิน

สังคม
26 พ.ค. 62
10:43
34,383
Logo Thai PBS
 "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ถึงแก่อสัญกรรม ประธานองคมนตรี 2 แผ่นดิน
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ถึงแก่อสัญกรรม ในวัยย่าง 99 ปี ประธานองคมนตรี 2 แผ่นดิน

วันนี้ ( 26 พ.ค.62) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ถึงแก่อสัญกรรมที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.ในวัยย่าง 99 ปี

ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. นายทหารประจำบ้านสี่เสาเทเวศร์ได้นำ พล.อ.เปรมส่ง รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อรักษาอาการด่วน แต่ในเวลาประมาณ 09.00 น. พล.อ.เปรมก็ถึงอสัญกรรมอย่างสงบ

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2463 ใน ต.บ่อยาง อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา ชื่อ "เปรม" นั้น พระรัตนธัชมุนี (แบน คณฺฐาภรโณ) เป็นผู้ตั้งให้ ส่วนนามสกุล "ติณสูลานนท์" พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2462 เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูล ติณสูลานนท์ กับนางวินิจทัณฑกรรม (ออด ติณสูลานนท์)

ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ณ โรงเรียนเทคนิคทหารบก (ปัจจุบัน คือ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) เมื่อปี พ.ศ.2481เข้ารับการศึกษาเป็นรุ่นที่ 5 มีเพื่อนร่วมรุ่น 55 นาย สำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2484 ใช้เวลาเพียง 3 ปี ไม่ครบ 5 ปี ตามหลักสูตร เนื่องจากเกิดกรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับฝรั่งเศสขึ้น จึงจำเป็นต้องให้นักเรียนนายร้อยออกรับราชการก่อนกำหนด

พล.อ.เปรม เริ่มรับราชการเป็นผู้บังคับหมวด ประจำกรมรถรบ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2484 ปฏิบัติหน้าที่ ณ สมรภูมิรบปอยเปต ประเทศเขมร ในกรณีพิพาทในอินโดจีนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศส และได้รับแต่งตั้งให้เป็นว่าที่ร้อยตรี (รับกระบี่ในสนามรบ) เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2484

พ.ศ. 2485 - 2488 เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา จึงได้รับคำสั่งให้ไปประจำการเป็นกองหนุนของกองทัพพายัพ จ.ลำปาง ต่อมากองทัพเคลื่อนย้ายไปอยู่เชียงราย และได้รับคำสั่งให้ไปขึ้นอยู่กับกองพล.3 ที่เชียงตุง จนได้เลื่อนยศเป็น ร้อยเอก และเป็นผู้บังคับกองร้อยที่ลพบุรี

พ.ศ. 2489 - 2492 เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ 2 กองพันที่ 1 กรมรถรบ ได้เข้าศึกษาเป็นนายทหารฝึกหัดราชการ โรงเรียนนายทหารม้า เมื่อจบการศึกษาได้กลับมารับตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยเดิม และรักษาราชการผู้บังคับกองพันที่ 1 กรมรถรบ
1 กรกฎาคม 2492 ได้รับพระราชทานยศ "พันตรี"

พ.ศ. 2493 เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ 3 กองพันทหารม้าที่ 4 จังหวัดอุตรดิตถ์ รองผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 4 และรองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์อีกตำแหน่งหนึ่ง

พ.ศ.2495 ได้รับทุนจากกองทัพบกโดยการสอบแข่งขันได้ไปศึกษาต่อที่ The United States Army Armor School รัฐเคนตักกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาเมื่อต้นปี พ.ศ. 2497 กลับมารับราชการเป็นอาจารย์ในแผนกวิชายุทธวิธี กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ กองพลน้อยทหารม้า (กรุงเทพฯ)

30 มกราคม 2497 ได้รับพระราชทานยศ "พันโท"

พ.ศ.2497 - 2498 เป็นผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 5 กรมทหารม้าที่ 2 และเป็นอาจารย์หัวหน้าแผนกวิชาทหาร กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ

1 มกราคม 2499 ได้รับพระราชทานยศ "พันเอก"

พ.ศ.2501 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า จังหวัดสระบุรี เป็นรองผู้บัญชาการโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า

พ.ศ.2506 เป็นรองผู้บัญชาการโรงเรียนทหารม้า ศูนย์การทหารม้า และเป็นรองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสระบุรี

พ.ศ.2509 - 2510 เข้าศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 9 (ยศพันเอก) เดินทางไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น และเกาหลี

1 ตุลาคม 2511 ได้รับพระราชทานยศ "พลตรี" และให้ดำรงตำแหน่ง "ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า" และ "ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสระบุรี"

พ.ศ.2512 เป็นองครักษ์เวร เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์

1 ตุลาคม 2516 เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 จังหวัดสกลนคร

1 ตุลาคม 2517 ได้รับพระราชทานยศ "พลโท" และดำรงตำแหน่ง "แม่ทัพภาคที่ 2" พ.ศ. 2518 เป็นราชองครักษ์พิเศษ

1 ตุลาคม 2520 ได้รับพระราชทานยศ "พลเอก" และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ทั่วไปฝ่ายทหาร

พ.ศ.2521 เป็นผู้บัญชาการทหารบก จนเกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2523 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติต่ออายุราชการอีก 1 ปี

26 สิงหาคม 2524 พล.อ.เปรม ได้อำลาการรับราชการทหาร

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2523 รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 16 ของประเทศไทย โดยก่อนหน้านั้น พล.อ.เปรม  เริ่มรับราชการทางการเมืองโดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นวุฒิสมาชิก เมื่อ 4 กรกฎาคม 2511 เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2515 เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2520 และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2522

พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ 3 มีนาคม 2523 จนถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2531 รวมทั้งสิ้น 3 สมัย มีคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 5 ชุด รวมเวลาทั้งสิ้น 8 ปี 5 เดือน

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2531 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2531 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศยกย่อง พล.อ.เปรม ไว้ในฐานะรัฐบุรุษ และเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2541 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นประธานองคมนตรีในสมัยรัชกาลที่ 9 จนถึง วันที่ 13 ตุลาคม 2559

จากนั้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม - 1 ธันวาคม 2559 และดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 10 ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2559

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้ พล.อ.เปรม ลงนามในสมุดจดทะเบียนราชาภิเษกสมรส ในฐานะสักขีพยาน ใน วันที่ 1 พฤษภาคม 2562

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง