รพ.น่าน เตือนระวัง "โรคเนื้อเน่า" หลังพบผู้ป่วย 1 เดือน 25 คน

สังคม
24 ก.ค. 62
09:58
17,923
Logo Thai PBS
รพ.น่าน เตือนระวัง "โรคเนื้อเน่า" หลังพบผู้ป่วย 1 เดือน 25 คน
โรงพยาบาลน่าน แจ้งเตือนประชาชนระวังโรคเนื้อเน่าระบาด หลังช่วงเดือน ก.ค. มีผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าและหนังเน่า หรือแบคทีเรียกินเนื้อคน เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลน่าน จำนวน 25 คน โดยมีอาการรุนแรงเข้ารับการรักษาในไอซียู 1 คน ขณะที่ เดือน มิ.ย. มีผู้ป่วยเพียง 2 คน

วันนี้ (24 ก.ค.2562) โรงพยาบาลน่าน แจ้งเตือนประชาชนระวังโรคเนื้อเน่า และหนังเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือแบคทีเรียกินเนื้อคน หลังช่วงเดือน ก.ค. มีผู้ป่วยเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลน่าน จำนวน 25 คน โดยมีอาการรุนแรงเข้ารับการรักษาในไอซียู 1 คน

เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน มิ.ย. มีผู้ป่วยเพียง 2 คน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการระบาดของโรคเนื้อเน่า โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผล หรือรักษาใดๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้

สำหรับโรคเนื้อเน่าส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อโรคทั้งชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน เช่น คลอสติเดียม และเชื้อชนิดใช้ออกซิเจน เช่น สแตปฟิโลคอคคัส สเตรปโตคอคคัส ชนิดที่สามารถสร้างสารพิษได้ โดยอาการจะมีผิวหนังบวมแดงร้อน หากเชื้อลงลึกกินทั้งชั้นผิวหนังจะพบตุ่มพุพอง และค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นสีม่วง และถ้าเนื้อตายจะกลายเป็นสีดำ ผู้ป่วยบางคนอาจจะต้องตัดขา หรืออาจจะมีการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด ไข้สูง และทำให้เสียชีวิต

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย คือ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำได้แก่ ประวัติดื่มสุราประจำ เป็นโรคตับแข็ง โรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และการรับประทานยาสเตียรอยด์ ส่วนใหญ่โรคนี้จะระบาดในฤดูฝนในช่วงที่เกษตรกรลงดำนา ลุยโคลน โรงพยาบาลน่านจึงขอเตือนผู้ที่ทำนา หากมีแผลตามร่างกาย ให้รีบขึ้นจากโคลนแล้วล้างแผลด้วยให้น้ำสะอาด ซับด้วยผ้าสะอาด และปิดแผล ถ้ามียาฆ่าเชื้อโพวิโดนไอโอดีนสามารถใช้ทาแผลได้ แล้วรีบมาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อให้ตรวจรักษาต่อไป

ทัง้นี้ ในส่วนการรักษาแพทย์จำเป็นต้องตัดเนื้อตายออกให้หมด และให้ยาปฎิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ ถ้าเชื้อยังไม่ลุกลามเข้ากระแสเลือด ผลลัพธ์ของการรักษาจะค่อนข้างดี สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้ลงนา หรือไม่มีบาดแผลก็อาจจะติดเชื้อดังกล่าวได้ โดยการเกา หรือมีบาดแผลถลอกเล็กน้อย เชื้อสเตรปโตคอคคัส หรือสแตปฟิโลคอคคัสที่อยู่บริเวณผิวหนังอาจจะเข้าไปในแผลแล้วเกิดการติดเชื้อ ถ้าผู้ใดมีผิวหนังบวมแดงอย่างรวดเร็ว และมีตุ่มพุพองที่ผิวหนัง แนะนำให้รีบมาตรวจรักษาก่อนที่อาการจะลุกลามจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง