โลกออนไลน์แสดงความเห็น แนวคิดระบุ "รายได้-อาชีพ" ลงในบัตรประชาชน

สังคม
14 ธ.ค. 58
01:22
203
Logo Thai PBS
โลกออนไลน์แสดงความเห็น แนวคิดระบุ "รายได้-อาชีพ" ลงในบัตรประชาชน

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์แสดงความเห็นต่อแนวคิดในการระบุรายได้และอาชีพลงไปในบัตรประชาชน หลังนายกรัฐมนตรีให้เหตุผลว่าเพื่อให้รัฐบาลสามารถใช้งบประมาณในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้อย่างเหมาะสม

วันนี้ (14 ธ.ค.2558) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าข้อความแสดงความคิดเห็น แฮชแท็ก #บัตรประชาชนแบบใหม่ และ #สิ่งที่ควรระบุในบัตรประชาชน กลายเป็นที่นิยมในทวิตเตอร์ ในช่วงไม่กี่วันมานี้ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในรายการคืนความสุขฯ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2558 ว่าในปี 2560 จะมีการปรับรูปแบบรายละเอียดบนบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ โดยอาจจะระบุอาชีพและรายได้ เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐบาลสามารถนำไปใช้สำหรับการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้เหมาะสม โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายคนมองว่าอาจเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว ขณะที่บางส่วนมีความเห็นว่าควรเป็นข้อมูลทางการแพทย์สำหรับการช่วยชีวิตเวลาฉุกเฉิน บางส่วนมีความเห็นว่าควรใช้รูปแบบเดิม แต่ทำให้บัตรประชาชนเป็นบัตรสมาร์ทการ์ดที่ใช้งานได้จริง เมื่อต้องทำธุรกรรมไม่ต้องทำสำเนา ขณะที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์บางคนกล่าวว่าการระบุรายได้ลงในบัตรประชาชนขัดกับการบริหารขององค์กรที่ข้อมูลเรื่องรายได้เป็นความลับระหว่างองค์กรและผู้ปฏิบัติงาน เปิดเผยไม่ได้

ขณะที่เว็บไซต์พันทิปดอทคอมเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการตั้งกระทู้ถึงแนวคิดขของรัฐบาล โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าควรจะใช้ระบบไมโครชิพ หรือฐานข้อมูลประกันสังคมแทน น่าจะเป็นวิธีที่มีความเหมาะสมกว่า

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้กระทรวงการคลัง ศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหาการเสียภาษี เช่น การเสียภาษีซ้ำซ้อน การรั่วไหลของภาษี รวมถึงลดขั้นตอนการเสียภาษี โดยพัฒนาฐานข้อมูลการเสียภาษีให้เชื่อมโยงกับข้อมูลทะเบียนราษฎรกับบริการภาครัฐทั้งระบบ เช่น รายได้ของชาวนา เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดการให้บริการสาธารณะต่าง ๆ โดยให้มีการยกร่างกฎหมายและอยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย

ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การทำฐานข้อมูลที่มีการระบุรายได้และอาชีพแบบใหม่ จะช่วยให้นโยบายการลดภาระค่าครองชีพลงไปช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และช่วยส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ในระบบภาษีที่เหมาะสมตามลำดับรายได้ของแต่ละบุคคล เพื่อนำเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศ พร้อมยืนยันว่า ไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง