หน่วยงานเกี่ยวข้องรับขาดประสานงานแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมในครั้งนี้ต่างยอมรับว่าขาดการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำ และแม้แต่ภายในหน่วยงานก็บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร พร้อมกันนี้เสนอการทำพื้นที่แก้มลิง และจะจ่ายชดเชยให้กับพื้นที่รองรับน้ำอย่างเหมาะสมสถาบันวิจัยวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาวิชาการหัวข้อวิกฤติน้ำท่วมประเทศไทย บทเรียนและแนวทางอนาคต โดยนายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศ ทรัพยากรน้ำและการเกษตร องค์การมหาชน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาโดยเฉพาะวิธีการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เพื่อพยากรณ์ล่วงหน้า แต่เดิมใช้ค่าเฉลี่ยรายปี ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งจะต้องเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการที่ยังไม่ลงตัว
นายศรีสมบัติ พรประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีกว่า 10 หน่วยงานที่ดูแลเรื่องน้ำ โดยแต่ละแห่งมีแผน และเครื่องมือของตัวเอง แต่มีปัญหาต่างคนต่างทำงานทำให้ขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณืน้ำท่วมครั้งนี้ และยอมรับว่าภายในหน่วยงานเองก็ยังมีปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ด้านนายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ ตัวแทนกรมชลประทาน กล่าวว่า หน้าที่หลักของกรมชลประทานคือการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่การเกษตร แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่มักจะได้รับการร้องขอให้เข้ามาช่วยทำงานด้านการจัดการน้ำ รวมทั้งการป้องกันไม่ให้น้ำเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ จากประสบการณ์น้ำท่วมครั้งนี้พบว่าปริมาณน้ำใกล้เคียงปี 2543 แต่มีความรุนแรงมากกว่า และพบปัญหาว่าพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งเคยเป็นพื้นที่รองรับน้ำมาตั้งแต่ในอดีต แต่ปัจจุบันมีการก่อสร้างโรงงงาน ทำให้พื้นที่เกษตรต้องรองรับน้ำมากกว่าปกติ ส่วนแนวทางในอนาต กรมชลประทานจะดำเนินการจัดพื้นที่แก้มลิงอย่างจริงจังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะชดเชยพื้นที่รองรับน้ำอย่างเหมาะสมทั้งก่อนและหลังน้ำท่วม