บรรยากาศที่วิกแอร์ราชดำเนิน คึกคักเป็นพิเศษ โดยมีแฟนคอหมัดมวยเกือบ 20,000 คนแห่เข้าชมการชกของคู่มวยย้อนยุค โดยยอดค่าเข้าชมเก็บได้กว่า 2,990,000บาท โดยคู่ไฮไลต์เป็นการชกคู่ที่ 7 เจ้าของฉายา "โม้อมตะ" สมรักษ์ ท.เทพสุทิน (คำสิงห์) เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์คนแรกของไทย พบ ยอดวันเผด็จ ไก่ย่างห้าดาวยิม (สุวรรณวิจิตร) อดีตยอดมวยไทย วัย 51 ปี คู่นี้สร้างสีสันและเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนตั้งแต่การไหว้ครู โดยเฉพาะทางฝั่งมุมแดง สมรักษ์ ที่ได้ เขาทราย แกแล็คซี อดีตนักชกขวัญใจชาวไทยมาเป็นพี่เลี้ยง
เริ่มยกแรก สมรักษ์ โชว์แม่ไม้มวยไทยศอกกลับเข้าใบหน้า ยอดวันเผด็จ แบบเต็ม ๆ สลับกับเตะขวาได้หลายครั้ง จน ยอดวันเผด็จ พลิกตำรารับแทบไม่ทัน ,ยก 2 สมรักษ์ อาศัยความหนุ่ม บวกกับชั้นเชิ่งที่เหนือกว่า เดินออกอาวุธเข้าใส่ ยอดวันเผด็จที่ ช้ากว่าเยอะ เป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว
ยก 3 สมรักษ์ เล่นอาวุธคมด้วยการสับศอกเข้าใบหน้า ยอดวันเผด็จ จนเกิดแผลแตกบริเวณหางคิ้วซ้าย ผู้ตัดสินต้องยุติและเรียกแพทย์สนามมาดูบาดแผล และ ยุติการชก ชูมือให้ สมรักษ์ คำสิงห์ เอาชนะ ยอดวันเผด็จ ไปในยกนี้
หลังการชก สมรักษ์ เปิดใจว่า ดีใจที่สามารถสร้างกระแสดึงคนดูให้มาชมมวยไทยกันเยอะขึ้นขณะที่ชัยชนะในวันนี้เพราะความสดและซ้อมมาดีประกอบกับ ผู้พันวิทย์ แก่ และ ช้า
ด้าน ยอดวันเผด็จ ยอมรับ สู้สมรักษ์ไม่ได้ สมรักษ์ เก่งกว่าตนเยอะ และ อยากให้สมรักษ์ ชกมวยไทยต่อไป เพราะสมรักษ์ยังดึงดูดคอหมัดมวยได้อยู่ ส่วนตนเองไฟต์นี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายกับการชกมวยไทย
การชกในคู่นี้ถือว่า เป็นการปลุกกระแสให้กับมวยไทย ซึ่งก็สร้างประวัติศาสตร์ที่มียอดคนดูมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้บรรดาโปรโมเตอร์ต่างมีแนวคิดจะดึงยอดมวยไทยที่เคยเป็นแม่เหล็กดึงแฟน ๆ เข้าเวที กลับมาโชว์ลีลาแม่ไม้มวยไทยอีกครั้ง ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องดีกับวงการกีฬาไทย โดยเฉพาะศิลปะประจำชาติอย่างมวยไทย