แจ้งข้อหา "อภิสิทธิ์-สุเทพ" คดี "พัน คำกอง" เหตุ "ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล" เป็นคดีแรก

การเมือง
6 ธ.ค. 55
09:20
88
Logo Thai PBS
แจ้งข้อหา "อภิสิทธิ์-สุเทพ" คดี "พัน คำกอง" เหตุ "ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล" เป็นคดีแรก

อธิบดีดีเอสไอ อ้างเชิญมารับทราบคดีช่วงนี้ ก่อนเปิดสภา 20 ธ.ค. ก่อนได้รับเอกสิทธิทางสภาคุ้มครอง

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน กรณีการตายของผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อเดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม 2553 จำนวน 89 ศพ แถลงเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมว่า ผลการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนอันประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย คือ ดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ ว่าที่ประชุมมีมติร่วมกันให้ดำเนินการแจ้งข้อหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสูงสุดของ ศอฉ.และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผอ.ศอฉ.ว่า “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล”ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288

สืบเนื่องจากศาลยุติธรรมได้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ในคดีการไต่สวนเหตุการตายของนายพัน คำกอง ว่า “การตายของ นายพัน คำกอง เกิดจากถูกกระสุนปืนของทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของ ศอฉ.” และศาลยุติธรรมได้ส่งสำนวนการพิจารณาไต่สวนทั้งหมดพร้อมคำสั่งมายังตำรวจนครบาลและถึงดีเอสไอในที่สุดแล้ว ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องยึดถือเอาข้อเท็จจริงอันเป็นยุติโดยการไต่สวนของศาลดังกล่าว

นายธาริต กล่าวว่า พยานหลักฐานอันสำคัญที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย ต้องมีมติให้แจ้งข้อหาแก่บุคคลทั้งสองมาจากพยานที่ได้จากการไต่สวนและคำสั่งของศาลดังกล่าว รวมทั้งพยานหลักฐานที่การสอบสวนได้เพิ่มเติม อาทิเช่น การสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม (ซึ่ง ศอฉ.เรียกว่าการกระชับพี้นที่และการขอคืนพื้นที่) การสั่งใช้อาวุธปืน การสั่งใช้พลซุ่มยิง และอื่น ๆ โดยมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก ผอ.ศอฉ. นายสุเทพ และได้อ้างไว้ในคำสั่งด้วยว่าเกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ฯ) อย่างชัดเจน สอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ใน ศอฉ.ว่า นายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้รับรู้ร่วมสั่งการและพักอาศัยอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการของ ศอฉ.ตลอดเวลา

ประการสำคัญคือการสั่งการของบุคคลทั้งสองกระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายครา แม้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนแล้วก็หาได้ระงับยับยั้งหรือใช้แนวทางอื่นใดแต่อย่างใดไม่ รวมถึงพยานแวดล้อมกรณีอื่น ๆ อีก จึงเป็นการบ่งชี้ได้ว่าเป็นเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการร่วมกันสั่งการเช่นนั้นย่อมทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมากและต่อเนื่องกันหลาย ๆ วัน

นายธาริต เพิ่มเติมว่า คดีเช่นนี้ถือเป็นคดีที่สำคัญของสังคม เพราะการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ กฎหมายจึงบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ที่ต้องมีการไต่สวนเหตุการตายโดยศาลยุติธรรม เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติโดยเป็นธรรมจากการสืบพยานไต่สวนโดยศาลซึ่งพิจารณาโดยเปิดเผยทุกฝ่ายสามารถนำพยานหลักฐานเข้ามาสืบได้ ในที่สุดศาลก็จะได้มีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร ใครทำให้ตายและมีพฤติการณ์หรือสาเหตุอย่างไร

คดีนี้ศาลก็ได้มีคำสั่งครบถ้วนเช่นนั้น หน้าที่ของพนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการต่อตามผลของการไต่สวนและคำสั่งของศาล อาจกล่าวโดยง่าย ๆ ว่าต้องดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่ได้ยุติชั้นศาลแล้วนั้นเอง คดีนี้ศาล ได้สั่งว่าเหตุการตายเกิดจากกระสุนปืนของฝ่ายทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของ ศอฉ.พนักงานสอบสวนก็ต้องมาต่อยอดว่าผู้มีอำนาจสั่งการของ ศอฉ.ที่เป็นต้นเหตุของการสั่งการจนมีการตายเป็นใคร และมีรายละเอียดพร้อมพยานหลักฐานว่าได้กระทำผิดเช่นใด

ส่วนทหารที่ได้เข้าปฏิบัติการนั้น ศาลก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใด และโดยผลการสอบสวนก็ไม่อาจระบุตัวตนได้ด้วย แต่ก็ได้รับผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 ว่าเมื่อเป็นการปฏิบัติตามการสั่งการซึ่งเชื่อว่าต้องปฏิบัติก็ย่อมได้รับการคุ้มครองโดยไม่ต้องรับโทษ ดังนั้นในชั้นนี้จึงไม่แจ้งข้อหาแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร

ในวันนี้เมื่อสิ้นสุดการประชุมและมีมติดังกล่าว นายธาริตฯ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ก็ได้ลงนามในหนังสือแจ้งให้บุคคลทั้งสองมารับทราบข้อหาและทำการสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาแล้ว โดยนัดหมายให้มาพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 12 ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา 14.00 นาฬิกา โดยแจ้งไปด้วยว่าหากบุคคลทั้งสองเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อหาและสอบสวนเสร็จก็จะใช้ดุลพินิจปล่อยตัวไปโดยไม่ขอศาลให้ฝากขัง ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ นั้นเอง และเนื่องจากบุคคลทั้งสองเป็นอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองชั้นผู้ใหญ่ จึงใช้การออกหนังสือเชิญแทนการออกหมายเรียก

นายธาริตยอมรับว่า การเชิญบุคคลทั้งสองมาแจ้งข้อหาในช่วงเวลานี้ก็เพื่อจะได้ตัวเข้ามาในคดีอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี เพราะหากพ้นวันที่ 20 ธันวาคมนี้ แล้วบุคคลทั้งสองจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายทันที เนื่องจากเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ และเชื่อว่าบุคคลทั้งสองจะมาตามนัดหมายโดยไม่ถ่วงเวลาจนเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ ในวันที่ 21 ธันวาคม 2555


ข่าวที่เกี่ยวข้อง