ผู้ว่าฯ สงขลา ยันไม่มีรถประกอบระเบิดผ่านด่านตามที่เป็นข่าว

ภูมิภาค
12 ต.ค. 56
15:53
28
Logo Thai PBS
ผู้ว่าฯ สงขลา ยันไม่มีรถประกอบระเบิดผ่านด่านตามที่เป็นข่าว

ผู้ว่าฯ สงขลา ปฏิเสธข่าวลือที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย ว่ามีการนำรถประกอบระเบิดเตรียมเข้ามาก่อเหตุใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไม่เป็นความจริงแต่เป็นเพียงข่าวลวง เพื่อสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน ขณะที่ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา เตรียมขออนุมัติหมายศาลเข้าจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม เมื่อสามวันก่อน

ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลานำแฟ้มประวัติของแนวร่วมก่อความไม่สงบที่เคลื่อนไหวในพื้นที่มาตรวจสอบเพราะเชื่อว่าบางส่วนนั้นเกี่ยวข้องกับเหตุวางระเบิดตู้เอทีเอ็ม และร้านสะดวกซื้อเกือบ 40 แห่งพร้อมกันใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ หน้าโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่มีความชัดเจนในตัวบุคคลที่ก่อเหตุ จึงเตรียมขออนุมัติหมายศาลจังหวัดนาทวี ออกหมายจับ

ขณะที่การรักษาความปลอดภัยตลอดทั้งวัน เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะใน อ.จะนะ และ อ.นาทวี เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้าน นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ปฏิเสธข่าวลือที่เผยแพร่ผ่านทางโซเชี่ยลมีเดีย หรือมีการส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือว่าจะมีรถประกอบระเบิดผ่านด่าน อ.จะนะ เข้ามาก่อเหตุใน อ.หาดใหญ่ ว่าไม่เป็นความจริง และเป็นเพียงข่าวลวงที่สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนเท่านั้น

ขณะที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะครูใน จ.ยะลา และ จ.ปัตตานี พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวของ นางแวนะ บูงอ ครูโรงเรียนบ้านเจาะกือแย ที่ถูกยิงเสียชีวิต แล้วใข้ระเบิดเพลิงขว้างเข้าใส่บ้านพักครู ใน ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยนาจาตุรนต์ บอกว่า ทางกระทรวงจะเร่งรัดระบบการประเมินวิทยฐานะครู และดูแลสวัสดิภาพของครูให้มากขึ้น พร้อมกับการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้กับ เยาวชนในพื้นที่

ส่วนที่ประชุมสมาชิสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้หยิบยกปัญหาภัยแทรกซ้อน ทั้งยาเสพติด ปัญหาน้ำมันเถื่อน สินค้าหนีภาษี ซึ่งใช้เป็นแหล่งเงินทุนก่อเหตุความรุนแรงของผู้ก่อความไม่สงบ โดยบางคนแสดงความเห็นว่าสาเหตุที่การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไม่คืบหน้า เพราะมีเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง และเมื่อพบหลักฐานการรับส่วยแล้ว หน่วยงานต้นสังกัดกลับไม่มีการลงโทษที่เด็ดขาดต่อผู้กระทำความผิด


ข่าวที่เกี่ยวข้อง