วันนี้ (30 ธ.ค.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การยิงปืนขึ้นฟ้าในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่ข้อมูลจากทางวิชาการจากงานวิจัยของกองทัพสหรัฐฯ พบว่ามีการยิงปืนในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน และโดยมีข้อมูลด้วยว่าหากเป็นปืนไรเฟิลโอกาสที่จะได้รับอันตรายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเป็นปืนสั้นขนาด 9 มม. .38 และ.45 มม. ที่พบว่ามีการยิงขึ้นฟ้าในประเทศไทย แม้ว่าอาจได้รับอันตรายน้อยกว่า แต่ต้องถือว่ามีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน
ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสรุปสถิติการแจ้งความของประชาชน กรณีกระสุนปืนปริศนาตกใส่หลังคาบ้าน เฉพาะในห้วงวันที่ 1 มกราคม 2559 มีทั้งสิ้น 6 คดี ทั้งในพื้นที่ จ.นนทบุรี พัทลุง เลย นครศรีธรรมราช และปัตตานี สำนักงานตำรวจแห่งชาติรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของการยิงปืนขึ้นฟ้า โดยระบุว่าบุคคลที่ยิงปืนขึ้นฟ้า มีโอกาสถูกแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา หรือกระทำการโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย หรือทำให้เสียทรัพย์
นายวิทยา สุขสมโตมร ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืน กล่าวว่า ตำรวจสามารถหาหลักฐานมาดำเนินคดีกับผู้ที่ยิงปืนขึ้นฟ้าได้ ด้วยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนวิธีการป้องกัน หรือหลบเลี่ยงการถูกลูกหลงจากการยิงปืนขึ้นฟ้า จำเป็นต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย
ขณะที่เว็บไซต์ Gunpolicy.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย รวบรวมข้อมูลทางวิชาการ สถิติ และความรุนแรงจากอาวุธปืนของประเทศต่างๆ 178 ประเทศทั่วโลก พบว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีการครอบครองปืนทั้งปืนถูกกฎหมายและปืนเถื่อน จำนวน 310 ล้านกระบอก ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 39 ของโลก ในรายงานระบุว่า มีผู้ครอบครองปืนทั้งปืนจดทะเบียนและปืนเถื่อนรวม 10 ล้านกระบอก ซึ่งถือว่าสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน รองลงมา คือฟิลิปปินส์ 3.9 ล้านกระบอก ส่วนกัมพูชา มีทั้งสิ้น 6 แสนกระบอก