UN ชี้ไนจีเรียต้องมีแผนขจัดคราบน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก

ต่างประเทศ
5 ส.ค. 54
02:25
22
Logo Thai PBS
UN ชี้ไนจีเรียต้องมีแผนขจัดคราบน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก

สหประชาชาติระบุการแก้ไขปัญหาคราบน้ำมันรั่วไหลมานานกว่า 50 ปีในประเทศไนจีเรียอาจต้องเป็นโครงการขจัดคราบน้ำมันใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ซึ่งล่าสุดบริษัทเชลล์ที่เคยเข้าไปประกอบกิจการแนะชุมชนที่ได้รับผลกระทบฟ้องดำเนินคดีได้ตามกฎหมายอังกฤษ

ท่อน้ำมันดิบของกลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ยังคงมีน้ำมันดิบไหลออกจากท่ออยู่ตลอดเวลา จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลานานกว่า 50 ปีแล้ว
 
กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ได้เข้าไปประกอบกิจการขุดเจาะน้ำมันที่บริเวณสามเหลี่ยมเดลต้า ซึ่งเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอันอุดมไปด้วยแหล่งน้ำมันและก๊าซของประเทศไนจีเรียตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 50 แต่ทว่าในปี พ.ศ.2536 กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ก็ต้องหยุดกิจการและถอนตัวออกมาทั้งหมด เนื่องจากถูกชาวชุมชนขับไล่ เพราะไปทำลายสภาพแวดล้อม
 
สามเหลี่ยมเดลต้าของไนจีเรียนี้ยังมีกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม ซึ่งได้ต่อสู้กับรัฐบาลกลางเพื่อเข้าควบคุมพื้นที่ และน้ำมันที่เกิดการรั่วไหลมานานกว่า 50 ปีนี้ ทางบริษัทฯ ก็โทษว่าเป็นเพราะถูกก่อวินาศกรรมจากกลุ่มติดอาวุธและพวกหัวขโมย
 
โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติหรือยูเนปได้ส่งสรุปรายงานความเสียหายและแผนการการจัดการกับคราบน้ำมันไปให้รัฐบาลไนจีเรีย ซึ่งเวลานี้มีนายโจนาธาน กู๊ดลั้ก เป็นประธานาธิบดี โดยสหประชาชาติระบุว่า การแก้ปัญหาคราบน้ำมันของไนจีเรียครั้งนี้น่าจะต้องเป็นโครงการขจัดคราบน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกเท่าที่เคยมีมา และก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 ปี
 
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ได้ออกมาประกาศว่า ไม่ว่าการรั่วไหลครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ทางบริษัทฯ ก็พร้อมจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยรับปากว่าจะจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับชุมชน โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2551-2552 แต่หากชาวชุมชนได้รับความเสียหายมากกว่านี้ ก็สามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ที่ศาลในประเทศอังกฤษ
 
สำนักงานกฎหมาย "เลย์ แอนด์ เดย์" ที่เข้าเป็นทนายความให้ชาวชุมชนของไนจีเรียเปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ไม่ได้ระบุจำนวนค่าสินไหมที่สัญญาจะจ่าย แต่ก็ต้องสมเหตุสมผลทัดเทียมกับความเสียหาย ทั้งนี้ก็คาดว่าจะมีจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อคำนวณจากความพังพินาศของวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพประมงของคนในชุมชน
 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง