สังเกต 11 อาการผิดปกติ เสี่ยงป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง

สังคม
7 ส.ค. 62
16:30
18,503
Logo Thai PBS
สังเกต 11 อาการผิดปกติ เสี่ยงป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง
กรมการแพทย์ ชี้โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของอวัยวะต่างๆ และมีความรุนแรงแตกต่างกัน พบได้บ่อยในหญิงมากกว่าชาย แนะผู้ป่วยหมั่นสังเกตอาการ หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์รับการรักษา

หลังจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ ระบุถึงสาเหตุที่นักเรียนหญิงวัย 17 ปีเสียชีวิต เพราะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง และอาจมีภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อ จึงทำให้อาการกำเริบรุนแรง จนทำให้อวัยวะภายในล้มเหลวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด เพราะถูกหมัดแมวกัดแต่อย่างใด

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus) เป็นโรคภูมิต้านทานตนเองทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง อาการของโรคจะเป็นๆ หายๆ มีการกำเริบและสงบเป็นระยะ พบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยอื่นส่งเสริมทำให้เกิดโรค ได้แก่ การติดเชื้อ ยา แสงแดด สารเคมีในสิ่งแวดล้อม

อาการของโรคนี้จะแสดงความผิดปกติในร่างกายหลายระบบร่วมกัน เช่น ผื่นโรค SLE ระบบผิวหนัง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด กล้ามเนื้อและข้อ เม็ดเลือด ไต ระบบทางเดินหายใจ ผมร่วง เป็นต้น ผู้ป่วยโรค SLE จึงมีอาการแสดงทางคลินิกที่หลากหลายและมีความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรง เช่น มีผื่น ปวดข้อ ไปจนถึงอาการแสดงที่มีความรุนแรงถึงเสียชีวิต เช่น ไตอักเสบ ดังนั้นการดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละคนจึงมีความแตกต่างกัน และแม้ว่าจะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติ

วินิจฉัยความผิดปกติโรค SLE

การวินิจฉัยโรค SLE จะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วยและผลเลือด โดยมีเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติอย่างน้อย 4 ใน 11 ข้อ ได้แก่

1. ผื่นบริเวณใบหน้าและมีการกระจายเป็นรูปผีเสื้อ
2. ผื่นผิวหนังชนิดที่เรียกว่าผื่นดีสคอยด์ พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ใบหู ลำตัว และแขนขา
3. อาการแพ้แดด โดยมีผื่นผิวหนังแดงอย่างรุนแรงเมื่อโดนแดด
4. แผลในปาก
5. ข้ออักเสบ
6. ไตอักเสบโดยปริมาณโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ
7. อาการชัก หรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ
8. เยื่อหุ้มปอด หรือหัวใจ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
9. อาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ (ที่ไม่ได้เกิดจากยาหรือการติดเชื้อ)
10. ตรวจพบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody) ในเลือด
11. ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (anti-dsDNA) หรือการตรวจพบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี หรือการตรวจเลือดพบผลบวกปลอมต่อการตรวจซิฟิลิส

ดูแลตัวเอง-ติดตามการรักษา

โรค SLE มีระยะการรักษาที่ยาวนาน นอกจากการรักษาโรคแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลตนเอง ทำความเข้าใจธรรมชาติและกลไกการเกิดโรค รวมทั้งเข้าใจเหตุผลของการประเมิน ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ดังนี้

1. ทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด
2. พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะและครบหมู่ ควรรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์และปรุงสุก
4. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจ้า ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเมื่อต้องออกไปกลางแดด
5. อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น
6. ไม่ควรตั้งครรภ์ ในขณะที่โรคยังรุนแรงหรือกำลังกำเริบ
7. รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
8. หากสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ เช่น มีไข้ มีแผล ฝี หนอง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ท้องร่วง หรือต้องรับการรักษาอื่นๆ เช่น การทำฟัน หรือต้องเข้ารับการผ่าตัด และหากมีอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกำเริบ เช่น อาการไข้ อ่อนเพลียมีผื่นขึ้นมากกว่าเดิม ปวดข้อ ผมร่วง มีแผลในปาก เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ปรับยา หยุดยา หรือพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสม
9. ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและไม่ควรหยุดยาเอง เนื่องจากในบางครั้งอาจทำให้โรคกำเริบอย่างรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง