ทุ่มงบฯ 1.4 พันล้าน เปลี่ยนเสาหลักนำทาง 7 แสนต้น เป็นเสายางพารา

สังคม
20 พ.ค. 63
14:30
518
Logo Thai PBS
ทุ่มงบฯ 1.4 พันล้าน เปลี่ยนเสาหลักนำทาง 7 แสนต้น เป็นเสายางพารา
กรมทางหลวงชนบท ทุ่มงบฯ 1.4 พันล้าน เปลี่ยนเสาหลักนำทางยางพารากว่า 700,000 ต้น ลดความรุนแรงอุบัติเหตุ คาดแล้วเสร็จปี 2565

วันนี้ (20 พ.ค.2563) นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท(ทช.) เปิดเผยว่า ทช.ได้ นำยางพารามาเป็นส่วนผสมในอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย เปลี่ยนเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post) หรือ RGP ทั่วประเทศ ทั้งนี้ เพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุจากการหลุดออกนอกทาง ชนกับหลักนำทางและเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

จากสถิติอุบัติเหตุบนทางหลวงชนบทระหว่างปี 2560 ถึง 2562 หนึ่งในสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุที่พบคือการเสียหลักหลุดออกนอกทางชนกับสิ่งอันตราย และจากการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุเชิงลึก พบว่าสิ่งอันตรายข้างทางที่ผู้ขับขี่เสียหลักหลุดออกนอกทางไปชนนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ 1. สิ่งอันตรายที่เป็นสิ่งแวดล้อมข้างทาง ได้แก่ ต้นไม้ รั้วบ้าน คันคลอง เป็นต้น 2. สิ่งอันตรายที่เป็นอุปกรณ์จราจร ได้แก่ หลักนำโค้ง เสาป้ายจราจร เสาไฟฟ้าแสงสว่าง เป็นต้น

ทั้งนี้ จากงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) (2560) ได้คำนวณมูลค่าความสูญเสียจากการเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุจราจร พบว่า การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมีมูลค่าเท่ากับประมาณ 10 ล้านบาทต่อราย และการบาดเจ็บสาหัสมีมูลค่าเท่ากับประมาณ 3 ล้านบาทต่อราย ในขณะที่หลักนำทางที่ผลิตจากยางพารามีต้นทุนการผลิตพร้อมติดตั้งอยู่ที่ 2,500 บาทต่อหลัก โดยเมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยของทางโค้งบนทางหลวงชนบทที่ติดตั้งหลักนำโค้งโดยส่วนใหญ่จะใช้หลักนำโค้งอยู่ประมาณ 14 หลักต่อโค้ง คิดเป็นมูลค่าเงินที่ใช้เปลี่ยนหลักนำโค้งเป็นยางพาราอยู่ที่ประมาณ 35,000 บาทต่อโค้งเท่านั้น

นายปฐม กล่าวว่าหากมีอุบัติเหตุหลุดโค้งชนกับเสาหลักนำทางคอนกรีตจนทำให้มีผู้ขับขี่เสียชีวิต 1 คนเกิดขึ้น จะคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียของชีวิตเท่ากับ 10 ล้านบาท แต่หากโค้งที่เกิดอุบัติเหตุนี้ได้เปลี่ยนไปใช้เสาหลักนำโค้งที่ผลิตจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูงอย่างยางพาราแทน ผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุหลุดโค้งชนกับเสาหลักนำทางยางพารา อาจไม่เป็นอันตรายจนถึงกับเสียชีวิต และเมื่อพิจารณาตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนปรับเปลี่ยนเสาหลักนำทางคอนกรีตไปใช้เสาหลักนำทางยางพารา

อย่างไรก็ตาม ทช.จึงได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนเสาหลักนำทางที่ผลิตจากคอนกรีตเสริมเหล็กไปใช้เสาหลักนำทางที่ผลิตจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูงอย่างเสาหลักนำทางยางพาราแทน เพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุจากการหลุดออกนอกทางชนกับหลักนำทาง

จะดำเนินการปรับเปลี่ยนเสาหลักนำทางทุกหลักทั่วประเทศ จำนวน 705,112 ต้น เป็นเสาหลักนำทางยางพารา ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2565 โดยใช้งบประมาณรวม 1,402.172 ล้านบาท

ทั้งนี้แบ่งเป็น ปี 2563 จำนวน 200,000 ต้น ปี 2564 จำนวน 200,000 ต้น และในปี 2565 อีกจำนวน 305,112 ต้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ลดความสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้สัญจรบนทางหลวงชนบทลงได้แล้ว ยังเป็นการผลักดันการใช้ยางพาราภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น จะสามารถช่วยเพิ่มเม็ดเงินให้ชาวสวนยางให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมในด้านการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐได้อย่างเป็นรูปธรรม

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง