ตำรวจไซเบอร์ยึดทรัพย์-รถยนต์หรู เครือข่ายหลอกเทรดคริปโต

อาชญากรรม
6 ก.ย. 65
17:32
694
Logo Thai PBS
ตำรวจไซเบอร์ยึดทรัพย์-รถยนต์หรู เครือข่ายหลอกเทรดคริปโต
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ตำรวจไซเบอร์ขยายผลยึดรถยนต์หรู รถจักรยานยนต์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน นาฬิกา รองเท้าแบรนด์เนม จากเครือข่ายหลอกลงทุนขุดเหรียญและเทรดเงินดิจิทัล เบื้องต้นพบมูลค่าความเสียหายกว่า 430 ล้านบาท

วันนี้ (6 ก.ย.2565) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการ สอท. แถลงข่าวยึดรถยนต์หรู และรถจักรยานยนต์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน รวมถึงทรัพย์สินมีค่าประเภทนาฬิกา กระเป๋า รองเท้าแบรนด์เนม พร้อมด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์กว่า 120 เครื่อง ซึ่งใช้เป็นเครื่องขุดเหรียญดิจิทัล หลังเข้าตรวจค้นบ้านพักใน จ.เชียงใหม่ ของเครือข่ายนายกิติกร อินต๊ะ CEO ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พี มายเนอร์ คริปโตเคอเรนซี่ กรุ๊ป

 

พล.ต.ท.กรไชย เปิดเผยว่า คดีนี้ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่ถูกชักชวนให้สมัครเป็นสมาชิก และร่วมลงทุนขุดเหรียญและเทรดเหรียญคริปโตเคอเรนซี เครือข่าย หลอกลงทุน P Miner ตามโครงการต่าง ๆ มากกว่า 30 โครงการ โดยอ้างว่า ผู้ที่ลงทุนเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท จะได้รับการคืนทุน 5 ครั้ง ทุกวันที่ 6 ของเดือน โดยแบ่งเป็นงวด ๆ ละ 8,000 บาท 13,000 บาท 16,000 บาท 20,000 บาท และ 24,000 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 80,000 บาท บางโครงการอ้างว่า ได้กำไรมากถึงร้อยละ 82 ต่อเดือน หรือได้กำไรร้อยละ 1,000 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายจะพึงจ่ายได้

 

จากนั้นเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินไปแล้ว จะได้รับหนังสือสัญญาการลงทุน ซึ่งในสัญญาจะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุน เช่น ชื่อโครงการที่ลงทุน จำนวนเงินที่ลงทุน ระยะเวลาที่ลงทุน จำนวนครั้งและจำนวนผลตอบแทนที่จะได้รับเงินกลับมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่ามีการลงทุนจริง

ทั้งนี้ ในช่วงแรกของการเริ่มลงทุน ผู้เสียหายจะได้รับผลตอบแทนกลับมาบางส่วน ต่อมาเมื่อเดือน ส.ค.2565 ผู้เสียหายไม่ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนแต่อย่างใด ผู้ต้องหาอ้างเหตุขัดข้องต่าง ๆ และไม่สามารถติดต่อได้ ในเวลาต่อมาผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมาย เบื้องต้นพบมีมูลค่าความเสียหายกว่า 439 ล้านบาท

 

ขณะนี้นายกิติกรและพวก ยังอยู่ระหว่างการหลบหนีหมายจับของศาลอาญา ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ข้อหาร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีผู้เสียหายบางส่วนเข้าแจ้งความกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง