"น้ำกัดเท้า-กลากเกลื้อน-ผิวหนังอักเสบ" โรคผิวหนังมากับหน้าฝน

สังคม
9 ก.ย. 65
10:21
316
Logo Thai PBS
"น้ำกัดเท้า-กลากเกลื้อน-ผิวหนังอักเสบ" โรคผิวหนังมากับหน้าฝน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
กรมการแพทย์เผย 6 โรคผิวหนังที่มากับหน้าฝน ทั้งน้ำกัดเท้า กลาก-เกลื้อน ผิวหนังอักเสบ เท้าเหม็น สิวเห่อ แนะพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติทางผิวหนัง

วันนี้ (9 ก.ย.2565) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า หน้าฝนเป็นช่วงที่มีความชื้นในอากาศสูง ทำให้มีการเจริญเติบโตของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งประชาชนที่เดินทางไปทำงานนอกบ้านอาจต้องโดนฝน ลุยน้ำ เสื้อผ้าเปียก ส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้ง่าย

โรคผิวหนังที่พบบ่อยในช่วงหน้าฝนคือ โรคน้ำกัดเท้า โรคกลากและเกลื้อน โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบจากแมลงกัดต่อย โรคเท้าเหม็น และสิวเห่อ

ทั้งนี้ หากมีอาการผิดปกติทางผิวหนังควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการวินิจฉัยรักษาที่ถูกต้อง

ขณะที่ พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่า 6 โรคผิวหนังที่มากับหน้าฝน มีดังนี้

1. โรคน้ำกัดเท้า โรคผิวหนังที่เกิดกับเท้าและซอกนิ้วเท้า มีสาเหตุมาจากเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes ชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคกลาก ความอับชื้นของถุงเท้า รองเท้า จากการลุยฝนลุยน้ำ มีส่วนทำให้เชื้อเจริญเติบโตได้ดี และหรืออาจติดจากสิ่งของเครื่องใช้ที่มีเชื้อนี้อยู่ และอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้

การดูแลรักษา สามารถให้ยาทาฆ่าเชื้อราภายนอก หรือพิจารณาให้ยารับประทาน ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ความกว้างของพื้นที่ติดเชื้อ และภาวะภูมิต้านทานของผู้ป่วย

2. โรคกลากและเกลื้อน คือโรคผิวหนังติดเชื้อรา โดยกลากเป็นเชื้อรากลุ่ม Dermatophyte เช่นเดียวกันกับโรคน้ำกัดเท้า เชื้อชนิดนี้สามารถเป็นกับผิวหนังได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณอับชื้น เช่น ขาหนีบ ก้น ส่วนเกลื้อน เป็นเชื้อรากลุ่ม Pityriosporum ซึ่งจะให้ลักษณะทางคลินิกที่แตกต่างกัน

การดูแลรักษา เช่นเดียวกับโรคน้ำกัดเท้า และทั้ง 2 โรคนี้ควรรักษาความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ

 

3. โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีความไวต่อการเกิดผื่น โดยผื่นอาจถูกกระตุ้นให้เห่อขึ้นได้ เมื่อมีความชื้นมาก เหงื่อที่ระบายได้ยาก และการเสียดสี แม้แต่การติดเชื้อราหรือแบคทีเรียเล็กๆ น้อยๆ บนผิวหนัง ก็สามารถทำให้ผื่นภูมิแพ้แย่ลงได้

การดูแลรักษา คือการดูแลความสะอาดด้วยสารทำความสะอาดที่ไม่รุนแรงต่อผิว เลือกทาครีมบำรุงเป็นประจำที่ไม่มีสารก่อระคายเคือง เช่น น้ำหอม หรือสารเร่งให้ขาว เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป

4. ผิวหนังอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย โดยเฉพาะแมลงบิน แมลงดูดเลือด เช่น ยุงชนิดต่างๆ ริ้นดำ ริ้นทะเล และแมลงอื่นที่ไม่ได้มากัด เราอาจมาสัมผัสโดนโดยบังเอิญ เช่น ด้วงก้นกระดก แมลงเหล่านี้เมื่อสัมผัสกับผิวหนังอาจมีอาการมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางชนิดอาจเป็นพาหะนำโรคอื่นๆ มาด้วย

การดูแลรักษา เมื่อถูกกัดหรือถูกสัมผัสโดนให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาด หากผิวหนังมีผื่น หรือมีอาการคัน อาจใช้ยาสำหรับทาแมลงสัตว์กัดต่อยทาบริเวณที่เป็นได้ แต่หากมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือบวมเจ็บผิดสังเกตให้รีบไปพบแพทย์

5. เท้ามีกลิ่นเหม็น เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่หนังเท้าชั้นนอก พบบ่อยเมื่อเท้ามีความอับชื้นอยู่นาน มีเหงื่อออกเท้ามาก สวมรองเท้าถุงเท้าที่ระบายเหงื่อหรือความชื้นได้ไม่ดี มีหนังฝ่าเท้าหนา น้ำหนักตัวมาก หรือเป็นเบาหวานก็เป็นปัจจัยส่งเสริมโรคนี้ได้ ฝ่าเท้าอาจจะมีลักษณะเป็นขุย หรือหนา หรือลอก หรือเมื่อดูใกล้ๆ จะพบว่ามีรูพรุนเล็กๆ มากมายบริเวณฝ่าเท้า และด้านล่างของนิ้วเท้า มักไม่มีอาการใดๆ แต่อาจจะทำให้เสียบุคลิกภาพ

การดูแลรักษา ให้ยาปฏิชีวนะชนิดใช้ภายนอก เช็ดทาให้ทั่วบริเวณที่เป็น หมั่นดูแลความสะอาด ปรับเปลี่ยนถุงเท้ารองเท้า หรือรักษาภาวะเหงื่อเท้ามากเกิน

6. สิวเห่อ ความร้อนและความชื้น ล้วนมีผลต่อทั้งปริมาณและการอักเสบของสิว ความอบอ้าวส่งผลต่อเชื้อบนผิว การเปิดของรูขุมขน การทำงานที่เพิ่มขึ้นของต่อมไขมัน เหล่านี้ส่งผลต่อสิวบนใบหน้า โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่อง

การดูแลรักษา ดูแลความสะอาด หากอักเสบหรือเห่อมากควรพบแพทย์ ใช้ยาสิวอย่างสม่ำเสมอ เปลี่ยนหน้ากากทุกวัน เลือกหน้ากากที่ไม่ระคายผิวจนเกินไป

 

อ่านข่าวอื่นๆ

เพจดังเตือนภัย "ยาชุด" แก้ปวดผสมสเตียรอยด์ อ้างตราองค์การเภสัชกรรม

กรมสุขภาพจิตห่วงคนไทย หลังสถิติปี 64 พบ "ฆ่าตัวตาย" 5,000 คน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง