พล.ต.ท.ไตรรงค์ จ่อเรียกสอบ "เฮียแต๋ม" เหตุค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก

อาชญากรรม
26 ก.ย. 66
16:40
2,900
Logo Thai PBS
พล.ต.ท.ไตรรงค์ จ่อเรียกสอบ "เฮียแต๋ม" เหตุค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
“พล.ต.ท.ไตรรงค์” ชี้แจงรายละเอียดกรณีเข้าตรวจค้นบ้าน "บิ๊กโจ๊ก" ยืนยันเป็นไปตามหลักกฎหมาย เพิ่งทราบเช่าบ้านเดือนละ 50,000 บาท เตรียมเรียกสอบ “เฮียแต๋ม” และภรรยา กรณีเป็นผู้ครอบครองบ้าน

วันนี้ (26 ก.ย.2566) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังมีข่าวว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมทนาย ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา เพื่อเอาผิดตำรวจชุดตรวจค้นบ้านพักย่านวิภาวดี 60 ว่า เป็นการค้นโดยมิชอบ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า การตรวจค้นเป็นไปตามหลักกฎหมาย ตั้งแต่การขอหมายค้นและหมายจับจากศาล มีการระบุตัวตนของบุคคลตามหมายจับ รวมถึงอาชีพ ที่ไม่ได้มีการปิดบังว่าเป็นตำรวจในการแถลงต่อศาล

กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่า จะต้องระบุยศ สามารถใช้คำนำหน้านายได้ และมีหลายครั้งที่การออกหมายจับตำรวจบางคดี ต้องให้เกียรติกัน จึงปกปิดยศทางราชการ

ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี ยืนยันว่า มีเหตุให้เข้าค้นบ้านพัก เพราะ พ.ต.ต.ชานนท์ ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับ เป็นคนที่เข้าออกภายในบ้านทั้ง 5 หลัง และมีชื่อผู้ต้องหาลงทะเบียนรับส่งพัสดุเป็นประจำ รวมทั้งชำระค่าสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นเงินจากบัญชีม้า โดยไม่ทราบว่า พ.ต.ต.ชานนท์ เป็นนายตำรวจติดตามของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

และไม่ทราบมาก่อนว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักที่ตรวจค้น เพราะหมู่บ้านดังกล่าวรักษาความปลอดภัยแบบระบบปิด ตำรวจจึงไม่ทราบว่ามีใครพักอยู่ภายในบ้านพักบ้าง

ส่วนกรณีที่ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) ได้สืบสวนและออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 23 คน ตรวจค้น 30 จุดนั้น มีกำลังไม่เพียงพอ จึงต้องขอกำลังสนับสนุนจากตำรวจที่ทำงานและพร้อมส่งต่อข้อมูลกันได้ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มีตำรวจ ปปป.เข้าร่วมด้วย เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

รายงานต้นสังกัด 8 ตร.แล้ว

ส่วนการใช้กำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเข้าปฏิบัติงาน เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยง เพราะผู้ต้องหาบางคนมีประวัติคดีอาชญากรรมและคดียาเสพติด และผู้ต้องหาส่วนหนึ่งเป็นตำรวจ จึงเชื่อว่ามีอาวุธไว้ป้องกันตัว ชุดจับกุมจึงต้องเตรียมพร้อมในการปฏิบัติการ ไม่ได้มีนัยยะอื่นแอบแฝง

นอกจากนี้ กรณีจับกุมตำรวจทั้ง 8 นาย จะให้ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่นั้น พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ขอให้เป็นการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา แต่ต้นสังกัดของตำรวจแต่ละนายทราบเรื่องแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งตำรวจทั้ง 8 นายยังคงให้การปฏิเสธ และไม่ขอให้การในชั้นพนักงานสอบสวน

สำหรับการขยายผลของผู้ต้องหาในเครือข่ายนี้ เตรียมพิจารณาดำเนินคดีและออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่งมาให้ข้อมูลในฐานะพยาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับผลประโยชน์และกลุ่มที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับบัญชีม้า 2 บัญชี เงินหมุนเวียน 260 ล้านบาท พร้อมยืนยันตามข่าวที่ออกมาว่า ในกลุ่มองค์กรสื่อมวลชนและบุคคลร่วมอยู่ในกลุ่มรับผลประโยชน์ด้วย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยจำนวน ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังบุคคลที่รู้ว่าตนเองมีธุรกรรมการเงินเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าเหล่านี้ ให้มาแสดงตัวเข้าให้ปากคำกับตำรวจ

จ่อเรียก "เฮียแต๋ม" เข้าให้ปากคำ

ส่วนกรณี “เฮียแต๋ม” นักธุรกิจขนส่งรายใหญ่ จ.อุดรธานี และภรรยา ที่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านที่เข้าตรวจค้นทั้ง 5 หลัง และเป็นผู้จ่ายค่าส่วนกลางปีที่ผ่านมา เป็นเงิน 142,000 บาท และเป็นผู้ขอใช้ไฟฟ้าให้กับบ้านทั้ง 5 หลัง หลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่า เช่าบ้านเฮียแต๋มอยู่ เดือนละ 50,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นญาติกัน พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า เพิ่งทราบเรื่องจากสื่อมวลชน แต่เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นบ้านญาติ ไม่ได้มีการเช่า หลังจากนี้ก็จะต้องตรวจสอบว่าเฮียแต๋มมีความสัมพันธ์เครือญาติด้านไหนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หากมีการเช่าจริงก็ต้องมีสัญญาตามกฎหมาย โดยจะต้องเรียกเฮียแต๋มมาให้ปากคำเร็ว ๆ นี้

อ่านข่าว : เปิดชื่อคนซื้อบ้าน 5 หลังให้ “บิ๊กโจ๊ก”

ส่วนเส้นทางการเงินจะเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือไม่นั้น ยังไม่ขอเปิดเผย เพราะอยู่ในสำนวน แต่ยืนยันว่าการที่ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิด ไม่ได้เป็นเหตุให้ต้องออกหมายเรียกผู้บังคับบัญชาของบุคคลนั้นมาสอบปากคำ แต่จะต้องมีพยานหลักฐานส่วนอื่นประกอบด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังเปิดเผยว่า ในแนวทางการสืบสวน ผู้ต้องหา 4 กลุ่มที่จับกุมได้นั้น ในกลุ่มผู้บริหารจัดการเว็บไซต์นั้น ประกอบด้วยตำรวจ 1 คน และพลเรือน 2 คน ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 คน ที่เป็นทหารนั้น เป็นพลทหารประจำการเกี่ยวข้องในส่วนของกลุ่มฟอกเงินและบัญชีม้า ขณะที่ภาพรวมการยึดทรัพย์สินของกลาง เช่น รถยนต์หรู เครื่องเพชร ทองคำ พระเครื่อง รวมมูลค่ากว่า 143 ล้านแล้ว

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า คดีนี้ไม่ได้ทำตามกระแส หรือเป็นผลจากการเมือง แต่สืบสวนมาตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบพยานหลักฐานสำคัญจนสามารถขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมได้ถึง 23 หมายจับ จึงต้องรีบดำเนินการ เพราะหากปล่อยไว้ผู้ต้องหาอาจเคลื่อนย้ายทรัพย์สิน หรือหลักฐานสำคัญจนเสียรูปคดี

โดยเฉพาะกลุ่มบัญชีม้าและกลุ่มผู้รับผลประโยชน์ และความผิดที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ที่ตามกฎหมายต้องยึดอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ หากพบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด ทรัพย์สินดังกล่าวก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน พร้อมขอความเป็นธรรมให้กับชุดจับกุม ไม่ได้ทำงานเพื่อกลั่นแกล้งใคร

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"บิ๊กโจ๊ก" ร้องศาลไต่สวนทีมตรวจค้นบ้าน ละเมิดอำนาจศาลฯ 

เปิดชื่อ คกก.สอบปม "ค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก" รายงานนายกฯ ใน 30 วัน 

ค้นบ้านพัก “บิ๊กโจ๊ก” ส่อสะเทือน “เฮียแต๋ม” เศรษฐีขนส่ง เมืองอุดรฯ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง