เหตุยิงกลาง "พารากอน" สะท้อนปราบอาวุธ “เหลว” ท่องเที่ยวกระเจิง

อาชญากรรม
4 ต.ค. 66
20:06
358
Logo Thai PBS
เหตุยิงกลาง "พารากอน" สะท้อนปราบอาวุธ “เหลว” ท่องเที่ยวกระเจิง
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
กรณีเยาวชนอายุแค่ 14 ปี ใช้ปืนไล่ยิงผู้คนในห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุง มีคนเจ็บคนตายหลายคนเมื่อ 3 ตุลาคม 66 ย่อมส่งผลทั้งด้านการท่องเที่ยว และนโยบายปราบปรามอาวุธ รวมทั้งอาวุธสงครามของตำรวจโดยตรง

เพราะปืนกล็อก 19 คือ ปืนพกหรือปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติขนาด 9 มม. ผลิตในประเทศออสเตรีย เท่ากับต้องนำเข้าหรือสั่งซื้อ มีน้ำหนักเบา แมกกาซีนบรรจุได้ 15 นัด ปกติต้องเป็นนักเลงปืนหรือคนเล่นปืนเท่านั้น ที่จะมีไว้ในครอบครอง ไม่ใช่เยาวชนอายุ 14 ปี

หรือถึงแม้จะเป็น blank gun หรือโมเดลอาวุธปืน ที่ถูกดัดแปลงนำมาใช้กับกระสุนจริงก็ตาม แต่เท่ากับสะท้อนว่า มีขายผ่านออนไลน์โจ่งแจ้ง เยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายในยุคปัจจุบัน

กรณีนี้เด็กอาจป่วยเป็นจิตเวช อยู่ระหว่างรักษาตัวแต่ขาดยา ทำให้ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และเป็นบทเรียนล้ำค่าราคาแพง สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่อาจปล่อยปละละเลย แต่ความจริงในยุคสมัยปัจจุบัน เด็กและเยาวชนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ต่างจากยุคสมัยก่อน

ไม่เพียงสะเทือนชื่อเสียงของห้างชื่อดังเท่านั้น แต่ยังสั่นสะเทือนไปถึงภาพใหญ่ของประเทศ เรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของทั้งคนไทยด้วยกัน ที่ตอนนี้พึงต้องระมัดระวังภัยที่ใกล้ตัวแค่คืบมากขึ้น แม้แต่ไปเดินในห้าง หลังจากเคยเกิดเหตุไล่ยิงผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ใจกลางเมืองนครราชสีมา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563

ไม่เพียงกระทบต่อคนไทยเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือนไปถึงการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย หลังจากซบเซาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ไทยได้รับผลพวงตั้งแต่ต้นปี 2563

ที่สำคัญ รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพิ่งประกาศฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซักสถาน เข้าประเทศไทย มีผลเมื่อ 25 ก.ย.2566 ที่ผ่านมานี้เอง

มีเป้าหมายสำคัญ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ให้เศรษฐกิจในประเทศขยับตัวขึ้น ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 500,000-700,000 คน หรือยอดรวมทั้งปี 2566 มีรวมประมาณ 4-4.4 ล้านคน ใกล้เคียงกับเป้าหมาย 5 ล้านคนที่ตั้งเป้าไว้ และทำรายได้เข้าประเทศ 257,500 ล้านบาท

พอเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญกลางกรุงเทพฯ อีกทั้งในข่าวระบุไว้ชัดเจนว่า 1 ในผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยได้รับผลกระทบแน่

และสำหรับประเทศไทย ยังเป็นที่หวาดระแวงของนักท่องเที่ยวจีนอยู่แล้ว หลังจากมีปลุกกระแสเที่ยวประเทศไทย อาจตกเป็นเหยื่อแก๊งค้าอวัยวะมนุษย์ในประเทศไทยได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาคการท่องเที่ยวเอกชน ได้กดดันเรียกร้องรัฐบาล ให้ช่วยรณรงค์ชี้แจงเรื่องนี้ แม้ว่าในความจริง คนไทยแทบไม่เคยได้ยินข่าวลักษณะนี้เลย

อย่างไรก็ตาม คนไทยได้เห็นการเทคแอคชั่น หรือเร่งหวังเคลียร์เรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วของนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น และโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความเสียใจกับคนในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ และฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัย

นับจากนี้ ความเป็นจริงที่ต้องทำคือถอดบทเรียน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งกรณีที่นครราชสีมาเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในการป้องปราม โดยเฉพาะเรื่องอาวุธปืนที่หาได้ง่าย ปัจจุบันมีขายผ่านออนไลน์กันเกร่อ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของตำรวจ และกระทรวงมหาดไทย

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความเปราะบางของผู้คนในยุคสมัยดิจิทัล ที่เป็นสังคมไร้รากสำหรับยึดเหนี่ยว ต่างคนต่างอยู่ หมกมุ่นอยู่กับสมาร์ทโฟนและโลกส่วนตัว รวมถึงมีคนป่วยจิตเวชก็ดี หรือคนที่เก็บกดรอวันระเบิดก็ดี ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้ปะปนอยู่ในสังคมไทยมากน้อยเพียงใด

ส่วนที่ละเลยไม่ได้เลย คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสองรายได้หลักเข้าประเทศ จึงต้องขยับและรณรงค์ในทางปฏิบัติครั้งใหญ่ เพราะหากมีรายได้จากนักท่องเที่ยว กระจายไปตามพื้นที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะส่งอานิสงส์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนได้

ล่าสุดสื่อต่างประเทศแทบทุกสำนัก ต่างรายงานข่าวเหตุไล่ยิงในห้างชื่อดัง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 4 คน ในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติอยู่ด้วย

มิหนำซ้ำยังตอกย้ำถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 จากเหตุการณ์นองเลือดที่อดีตนายตำรวจบุกเข้าไปก่อเหตุสลดใจ ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่ จ.หนองบัวลำภู ทำให้มีเด็กเสียชีวิต 24 ราย และผู้ใหญ่อีก 12 ราย

เป็นการกระหน่ำซ้ำเติมซ้ำสองประเทศไทย ให้น่วมมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง