การเมืองมีเสถียรภาพ "Fitch Ratings "จัดไทยยังน่าเชื่อถือทุกด้าน

เศรษฐกิจ
13 พ.ย. 66
17:16
257
Logo Thai PBS
การเมืองมีเสถียรภาพ "Fitch Ratings "จัดไทยยังน่าเชื่อถือทุกด้าน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
เครดิตไทยยังดี Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ BBB+ ระดับมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจ-การคลัง-การเงินต่างประเทศ แต่เสี่ยงชะลอตัวเศรษฐกิจโลก ภัยแล้ง

วันนี้ (13 พ.ย.2566) นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook)ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

โดย Fitch คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 2.8 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 3.8 ในปี 2567 มีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างมั่นคงและภาคการส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความต้องการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้า และบริการเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) ชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ได้ส่งเสริมให้เกิดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ การใช้จ่ายทางการคลังขนาดใหญ่ (Large Fiscal Spending) จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของประเทศ อีกทั้งความสำเร็จในการก่อตั้งรัฐบาลทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะสั้นลดลง ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายชัดเจนมากขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลยังจำเป็นต้องคำนึงถึงต้นทุนการดำเนินนโยบายและกรอบวินัยทางการคลังให้มากขึ้น ซึ่ง Fitch เชื่อว่าอันดับคะแนนภายใต้ Worldwide Governance Indicators (WGI) ของไทยจะดีขึ้น เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ดีไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ภัยแล้ง และความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี

นางจินดารัตน์ กล่าวอีกว่า ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) Fitch คาดว่า รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.0 ของ GDP ในปี 2566 เป็นร้อยละ 3.7 ของ GDP ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Median = ร้อยละ 2.9) แต่จะเริ่มลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ในปี 2568 (BBB Median = ร้อยละ 2.6

นอกจากนี้ Fitch คาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (General Government to GDP) ปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 56.8 ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 แต่ยังอยู่ในระดับเดียวกันกับค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Peers) ที่ร้อยละ 56.3 และในระยะปานกลาง

นางจินดารัตน์ กล่าวอีกว่าในปี 2570 คาดว่าระดับดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 57.5 อีกทั้ง เชื่อว่ารัฐบาลยังสามารถระดมทุนภายในประเทศได้ท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากหนี้สาธารณะมีอายุเฉลี่ยค่อนข้างยาวและส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงทางการเงินจากการเพิ่มขึ้นของ General Government to GDP ได้

อ่านข่าวอื่นๆ:

แนะเร่งจ่าย "ดิจิทัลวอลเล็ต"ช่วงสงกรานต์ เอกชนเชื่อรัฐรอบคอบ

ส่วนภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) Fitch คาดว่า มีความแข็งแกร่งและสามารถรองรับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเงินโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดย Fitch มองว่าปี 2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 1.0 ของ GDP จากที่ขาดดุลร้อยละ 3.2 ในปี 2565 อีกทั้ง ปี 2566 คาดว่าระดับทุนสำรองระหว่างประเทศต่อมูลค่าการนำเข้าจะยังคงอยู่ในระดับสูงมากที่ 7.1 เดือนซึ่งสูงกว่า BBB Median ที่ 5 เดือน

นางจินดารัตน์ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ Fitch จะติดตามเพื่อวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของไทย คือ ความสามารถในการบริหารจัดการ General Government Debt to GDP ให้อยู่ในระดับมีเสถียรภาพและสร้างการเติบโตในระยะปานกลาง ตลอดจนประสิทธิผลของนโยบายทางเศรษฐกิจ

 อ่านข่าว:

ข้าวโพดหวาน อาหารสำเร็จรูป "อานิสงส์ " ถก FTA ไทย-เอฟตา

นักวิเคราะห์ชี้ "ตลาดทุนผันผวน" เหตุกังวลนโยบายแจกเงินดิจิทัล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง