สมาคมนักข่าวฯ เปิดรายงานสถานการณ์สื่อฯ 2566 : ปีแห่งการปรับตัว

สังคม
29 ธ.ค. 66
20:12
324
Logo Thai PBS
สมาคมนักข่าวฯ เปิดรายงานสถานการณ์สื่อฯ 2566 : ปีแห่งการปรับตัว
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผย “รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบปี 2566 : ปีแห่งการปรับตัวของสื่อ”

วันนี้ (29 ธ.ค.2566) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผย “รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบปี 2566 : ปีแห่งการปรับตัวของสื่อ” ระบุว่า จากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ในปีนี้ นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรอบ 9 ปี จากรัฐบาล “พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเป็นรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งเป็นผลจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักค่อยๆ ปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ อย่างมีนัยยะสำคัญ

โดยเน้นเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์ และเฉพาะเจาะจงเพื่อเข้าให้ตรงถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งของตัวเองและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้และความอยู่รอด

แต่ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่าสื่อกระแสหลัก ยังมีจำนวนน้อยที่รายงานข่าวเชิงสืบสวน เพราะแรงกดดันด้านกำลังคนและการอยู่รอดในทางธุรกิจผ่านเรตติ้ง และจำนวนยอดคนดูและชมผ่านช่องทางต่าง

กฎหมายสื่อยังไม่ใช่ทางออก

แม้ว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว จะนำเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในช่วงท้ายๆ ของรัฐบาล แต่สุดท้ายร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ตกไป โดยไม่ผ่านแม้กระทั่งวาระที่ 1 (วาระรับหลักการ)

ด้วยเหตุผลในเรื่องขององค์ประชุมและเสียง ที่ไม่เห็นด้วยทั้งจาก ส.ส. และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนบางส่วนที่เห็นว่า กฎหมายนี้ยังไม่ใช่หนทางที่จะแก้ไขปัญหาการกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรมของสื่อมวลชน อีกทั้งยังไม่ไว้วางใจที่กฎหมายฉบับนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงอาจมีการแฝงการพยายามที่เข้ามาควบคุมสื่อมวลชนหรือไม่ ทำให้ปัญหาการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน จำเป็นที่จะต้องมีการระดมความเห็นหาแนวทางที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต

การแทรกแซง-ลิดรอนการแสดงความเห็นต่าง

บรรยากาศการเริ่มต้นหลัง “รัฐบาลใหม่” ได้เข้ามาบริหารประเทศกว่า 3 เดือนเศษ แต่ก็มีสัญญาณการแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนจากรัฐบาล โดยมีพฤติการณ์พยายามห้ามผู้มีความเห็นต่างใช้พื้นที่สื่อรัฐ ออกรายการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล

เช่น กรณี “นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการเลือกตั้ง” ที่ระบุมีบุคคลโทรศัพท์มานัดหมายขอสัมภาษณ์เรื่องการแจกเงินดิจิทัลผ่านสื่อของรัฐ จากนั้นก็มีโทรศัพท์มาขอยกเลิกการสัมภาษณ์โดยให้เหตุผลว่า ผู้ใหญ่ในช่องเห็นว่ารัฐบาลถูกวิจารณ์เรื่องนี้มากแล้ว เกรงว่าจะทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น

หรือในกรณีที่ “รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ” ระบุว่า ที่จะออกรายการคุยตามข่าว แต่กลับไม่มีการออกอากาศในประเด็นทักษิณ : ระเบิดเวลารัฐบาล? เพราะได้รับแจ้งผู้บริหารช่องสื่อของรัฐ พิจารณาแล้วว่า สุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลไม่พึงพอใจจึงสั่งงดออกอากาศ ดังนั้น ทั้ง 2 กรณีนี้ จึงหมิ่นเหม่ต่อการที่รัฐบาลอาจใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลลชนได้

ถูกคุกคามทางวาจา-ทำร้ายร่างกายสื่อ

ในปี 2566 ยังการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงการจับขั้วรัฐบาล ทำให้สื่อมวลชน ต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และในบางครั้งผู้ชุมนุมก็มีการคุกคามทำร้ายร่างกายสื่อมวลชนเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นักข่าวถูกกักตัว ในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี ระหว่างลงพื้นที่รายงานข่าว เป็นต้น

หรือในกรณีที่แหล่งข่าวเปิดโต๊ะแถลงข่าว แล้วถูกตั้งคำถามแล้วไม่พอใจ พาลแสดงกิริยาและคำพูดเหยียดหยามนักข่าว ทั้งที่นักข่าวรายนั้น เพียงทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง และรอบด้าน

ขณะที่ผู้แถลงข่าวก็มีสิทธิในการตอบคำถามหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละฝ่าย แต่การคุกคามทางวาจาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ย่อมกระทบต่อเสรีภาพในการแสวงหาข่าวสารและข้อเท็จจริงของสื่อมวลชน

นักข่าวถูกขู่ฆ่าจากนำเสนอข่าวสาร

เหตุการณ์บรรณาธิการข่าว และบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์รายวันทันหุ้น ถูกคนร้ายคุกคามข่มขู่ด้วยการส่งพัสดุมาที่บริษัท โดยภายในกล่องพบภาพของครอบครัวบรรณาธิการข่าว พร้อมกระสุนปืนไม่ทราบขนาด ระบุข้อความข่มขู่ และวันถัดมาคนร้ายก็บุกปาวัตถุคล้ายระเบิด 3 ลูกใส่ภายในบ้านบรรณาธิการบริหาร

ยังมีเหตุการณ์ผู้สื่อข่าวภูมิภาค ประจำ จ.เพชรบุรี ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายร่างกาย ยึดเอากล้อง และโทรศัพท์ไปลบข้อมูลทิ้งทั้งหมด พร้อมข่มขู่จะเอาชีวิตถึงบ้าน และขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ในระหว่างทำข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุบ่อดินถล่มทับคนงานเสียชีวิต

หรือเหตุการณ์นักข่าว จ.เพชรบูรณ์ ถูกตีศีรษะบาดเจ็บสาหัส ปมชนวนเหตุจากลงพื้นที่ตรวจสอบทำข่าวบ่อนพนัน รวมกรณีนายตำรวจยศ พ.ต.อ.ขู่ยิงนักข่าวหลังโทรศัพท์สัมภาษณ์ตำรวจนายนี้เกี่ยวกับคดีตำรวจทางหลวงถูกยิงเสียชีวิในงานเลี้ยงสังสรรค์บ้านกำนันนก

ตัวอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีลักษณะการลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน จากการข่มขู่คุกคามด้วยวิธีนอกกฎหมาย และจงใจกดดันข่มขู่อันเนื่องมาการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

อันเป็นการคุกคาม ทำให้สื่อมวลชนรู้สึกไม่ปลอดภัย ในการนำเสนอข่าวสารโดยตรง แทนที่จะใช้วิธีการทางกฎหมาย

ซึ่ง “สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการปกป้องคุ้มครองประชาชน และการใช้สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเพราะการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชน เท่ากับเป็นการคุกคามเสรีภาพ ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงของประชาชนและกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ

พร้อมเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน

ฟ้องปิดปากสื่อมวลชนยังคงเกิดขึ้น

นอกจากกรณีที่ “สื่อมวลชน” ต้องทำงานอยู่บนความเสี่ยงถูกทำร้าย ก็ยังปรากฎพบว่า “การฟ้องปิดปากสื่อมวลชน” ยังเป็นอีกวิธีที่ถูกนำมาใช้คุกคามการทำงานของสื่อมวลชน โดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งบนฐานทรัพยากร โครงการพัฒนา และสิทธิแรงงาน

โดยมาในรูปแบบการดำเนินคดี จากการเผยแพร่ข่าวเป็นส่วนใหญ่ เช่น สื่อมวลชนถูกฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก

แม้ว่าล่าสุดศาลจะยกฟ้อง แต่ก็ถือเป็นความพยายาม ในการใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ด้วยการฟ้องร้องคดี และขอให้สื่อมวลชนยุติการเสนอข่าว

สื่อมวลชนถูกกล่าวหาว่ารับเงินแลกกับการนำเสนอข่าว

จากกรณีนายตำรวจคนหนึ่งระบุว่า “ให้เงินกับนักข่าว 4 คน” ที่ถูกกล่าวอ้าง เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2566 ทำให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ของสื่อมวลชนไทย จน 3 สภาวิชาชีพสื่อมวลชน ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว โดยมี ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯ เป็นประธาน

ดำเนินการตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอยังองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อสาธารณะเพื่อเป็นแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสม ตามกรอบจริยธรรมวิชาชีพ

โดยตั้งเป้าจะดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในเวลา 90 วัน นับแต่แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ที่มีการนัดประชุมนัดแรกวันที่ 7 ธ.ค.2566 โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องหลายคนมาให้ข้อมูล ก่อนที่คณะกรรมการฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาและสรุปผล พร้อมข้อเสนอต่อ 3 สภาวิชาชีพต่อไป

ยืนหยัดเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนและสังคม

แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ภายใต้ภาวะแห่งความยากลำบาก แต่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนและสังคมต่อไป เพื่อเป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน

โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีทำหน้าที่ดูแลปกป้องสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน ในการนำเสนอข่าวและภาพข่าวได้อย่างเสรีภายใต้กรอบของกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ตกเป็นข่าว

ด้วยหลักการทำหน้าที่ที่ต้องพึงตระหนักว่า “สื่อมวลชน” มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีมาตรฐานทางวิชาชีพในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนด้วยความถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และมีความสมดุลบนพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยความรับผิดชอบต่อสิทธิส่วนบุคคล ตามกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนและประโยชน์สาธารณะตามที่ระบุในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

จากสถานการณ์สื่อในปี 2566 ดังกล่าว สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมวิชาชีพยืนหยัดต่อสู้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของความเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพที่มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ข้อมูลเพื่อประชาชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย และจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างมั่นคง แน่วแน่ต่อไป

อ่านข่าวอื่นๆ

สำรวจสถานบันเทิงพัทยา ฟังเสียงเด็กเสิร์ฟ-PR หลังผับปิดตี 4

แรงกดดัน "Parasite" ที่เกาะติดสังคมเกาหลี

คนจีนใช้เงินเปย์สัตว์เลี้ยง สูงถึง2.5 หมื่นบาท ชี้โอกาสทองสินค้าไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง