มาตรการรัฐดึงเงินเฟ้อ ม.ค.67 ลบ 1.11% ต่ำสุดในรอบ 35 เดือน

เศรษฐกิจ
5 ก.พ. 67
13:50
1,232
Logo Thai PBS
มาตรการรัฐดึงเงินเฟ้อ ม.ค.67 ลบ 1.11% ต่ำสุดในรอบ 35 เดือน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
“พาณิชย์”เผยเงินเฟ้อ ม.ค.67 ติดลบ 1.11% ต่อเนื่อง 4 เดือน ต่ำสุดในรอบ 35 เดือน เหตุมาตรการรัฐลดราคาน้ำมัน ค่าไฟ สินค้าอาหารสดต่อเนื่อง ย้ำไม่มีสัญญาณเงินฝืด ชี้สินค้ามีขึ้น-ลง ไม่น่าห่วง คาดปี 67 ติดลบ 0.3- 1.7%

วันนี้ (5 ก.พ.2567 ) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ม.ค.2566 เท่ากับ 106.98 เทียบกับ ธ.ค.2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.02 เทียบกับเดือน ม.ค.2566 ลดลง ร้อยละ 1.11 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และต่ำสุดในรอบ 35 เดือน นับจาก ก.พ.2564

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

โดยปัจจัยสำคัญเกิดจากมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของภาครัฐ ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดยังคงลดลงต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะผักสดและเนื้อสัตว์ เนื่องจากปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น รวมทั้งฐานราคาเดือน ม.ค.2566 ที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อค่อนข้างสูง มีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง ขณะที่สินค้าและบริการอื่น ๆ ราคาเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ

“เรื่องเงินฝืด ยังไม่น่าเป็นห่วงเพราะต้องดูว่าราคาสินค้าส่วนใหญ่ลดลงหรือเปล่า และยังต้องไปดูที่เงินเฟ้อ ว่ามันเฟ้อโดยตัวของมันเอง หรือมีกลไกแทรกแซง โดยเฉพาะนโยบายลดค่าครองชีพ ทั้งน้ำมัน ค่าไฟฟ้าที่เป็นตัวหลัก”นายพูนพงษ์กล่าว

สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อเดือน ม.ค.2567 ที่ลดลงร้อยละ 1.11 มาจากหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 1.13 ตามการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งน้ำมันในกลุ่มดีเซล แก๊สโซฮอล์ 91 E20 E85 และค่ากระแสไฟฟ้า เสื้อผ้าบุรุษและสตรี สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน

ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ราคายังคงลดลงอย่างต่อเนื่องตามการจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดจำหน่าย ทั้งเครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น รวมถึง สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว และแชมพูสระผม ราคาปรับลดลงเช่นกัน สำหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย เช่น แป้งทาผิวกาย กระดาษชำระ ค่าแต่งผมสตรี เครื่องถวายพระ ค่าทัศนาจรต่างประเทศ บุหรี่ สุรา และไวน์ ราคาเปลี่ยนแปลงตามการจัดโปรโมชัน

ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ 1.06 ตามการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่และสัตว์น้ำ ประเภท เนื้อสุกร ไก่สด ปลาทู กุ้งขาว ปลากะพง และ ผักสด เช่น มะเขือ มะนาว แตงกวา และผลไม้ อาทิ ส้มเขียวหวาน ลองกอง มะม่วงเนื่องจากปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก

สำหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย เช่น ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ขนมอบ นมถั่วเหลือง นมเปรี้ยว กะทิสำเร็จรูป น้ำพริกแกง กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ/ชา (ร้อน/เย็น) ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง/ข้าวกล่อง และอาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง)

ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ม.ค.2566

ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ม.ค.2566

ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ม.ค.2566

นายพูนพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ก.พ.2567 และเดือน มี.ค.2567 คาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการลดค่าครองชีพด้านพลังงาน ได้แก่ การตรึงราคาค่ากระแสไฟฟ้าในอัตราไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย

และมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร จนถึงวันที่ 19 เม.ย.2567 และผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญลดลง ทำให้ปริมาณผักสดเข้าสู่ตลาดมากกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เช่นสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังยืดเยื้อ ทำให้ค่าระวางเรือและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญปรับตัวสูงขึ้น เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งจากความต้องการเพิ่มขึ้น และการปรับราคาเพื่อให้มีความสมดุลและเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว หลังจากภาครัฐมีนโยบายอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาประเทศไทย ของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้อุปสงค์และราคาสินค้าในหมวดที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2567 อยู่ระหว่างร้อยละ ลบ 0.3 ถึงเพิ่มร้อยละ 1.7 ค่ากลางร้อยละ 0.7 โดยมีสมมตฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ร้อยละ 2.7-3.7 ราคาน้ำมันดิบดูไบ 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง

 อ่านข่าวอื่นๆ:

ดรามา! กางเกงช้าง เมื่อจีนผลิตตีตลาดไทย

กพท.แจงเหตุตั๋วโดยสารเส้นทาง "ภูเก็ต-กรุงเทพฯ" ราคาแพง

เวียดนามไฟเขียว! นำเข้า "โค-กระบือ" จาก 23 ฟาร์มไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง