ติดเชื้อโอมิครอน JN.1 อาการรุนแรง มีภาวะอ้วนมากกว่า-ภูมิคุ้มกันบกพร่องน้อยกว่า XBB

สังคม
17 มี.ค. 67
14:32
499
Logo Thai PBS
ติดเชื้อโอมิครอน JN.1 อาการรุนแรง มีภาวะอ้วนมากกว่า-ภูมิคุ้มกันบกพร่องน้อยกว่า XBB
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ศูนย์จีโนมฯ เผยข้อมูลพบกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน JN.1 ที่มีอาการรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาห้อง ICU มีภาวะอ้วนมากกว่า และมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องน้อยกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ติดเชื้อโอมิครอน XBB

วันนี้ (17 มี.ค.2567) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามมาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระวัง พบกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อโอมิครอน JN.1 ที่มีอาการรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) มีภาวะอ้วนมากกว่า (35.7% vs 20.8%) และมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องน้อยกว่า (20.4% vs 41.4%) เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ติดเชื้อโอมิครอน XBB อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่งผลให้ผู้ป่วยกลุ่มโอมิครอน JN.1 ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน dexamethasone ในสัดส่วนที่สูงกว่าอย่างชัดเจน

ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจคุณลักษณะพื้นฐานของผู้ป่วย รวมถึงความรุนแรงของโรคและการทำงานของอวัยวะต่างๆ เมื่อแรกรับเข้าไอซียู ซึ่งมีความสำคัญในการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้ป่วยสองกลุ่ม (โอมิครอน JN.1 และ โอมิครอน XBB) และอาจมีความจำเป็นในอนาคตที่ต้องตรวจหาสายพันธุ์ของโควิด-19 เพราะแต่ละสายพันธุ์มีผลลัพธ์ทางคลินิกที่แตกต่างกันมากขึ้น การป้องกันส่วนบุคคลด้วยการปรับวิถีชีวิตมีความจำเป็นมากขึ้น เช่น การรับประทานอาหารสุขภาพและออกกำลังกายต่อเนื่องเพื่อไม่ให้มีน้ำหนักเกินซึ่งจะไปเพิ่มความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงเมื่อติดเชื้อโอมิครอน JN.1 เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มประชากรลดลงเนื่องจากความกังวลเรื่องผลข้างเคียง

ศูนย์จีโนมฯ รพ.รามาธิบดี เร่งพัฒนาการตรวจแยกสายพันธุ์โอมิครอน XBB, JN.1 (BA.2.86.1) และ BA.2.87.1 ด้วยเทคนิค MassArray genotyping เพื่อตามการระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมูลนิธิรามาธิบดี คาดว่าจะแล้วเสร็จในสองสัปดาห์

จากงานวิจัยทางคลินิกแบบไปข้างหน้าในกลุ่มผู้ป่วยจากหลายโรงพยาบาล (prospective multicenter cohort) อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ SEVARVIR โดยมีนักวิจัยจากหน่วยไอซียูและห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาในโรงพยาบาลต่างๆ กว่า 50 คน จากกว่า 30 สถาบันการแพทย์ของฝรั่งเศสร่วมดำเนินการ โดยมีทีมนักวิจัยหลักประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยวิกฤต เช่น นพ.นิโคลัส เดอ พรอสต์ และนักไวรัสวิทยา เช่น ดร.สลิม ฟูราตี

อนึ่งผลการศึกษานี้อยู่ในรูปแบบ preprint ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ medRxiv เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2024 และยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิหรือตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ

ในการศึกษานี้มีผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์และถูกรวบรวมไว้ทั้งหมด 233 ราย ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2022 ถึง 22 มกราคม 2024 จาก 40 หน่วยไอซียูที่เข้าร่วมโครงการ SEVARVIR

โดยแบ่งเป็น:
- ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ XBB จำนวน 126 ราย
- ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 (รวม BA.2.86, JN.1 และ JN.3) จำนวน 56 ราย
- ผู้ป่วยอีก 51 รายถูกคัดกรองออกไปไม่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ในการเปรียบเทียบครั้งนี้

ดังนั้นจำนวนผู้ป่วยที่นำมาวิเคราะห์ผลในการศึกษานี้มีทั้งหมด 182 ราย ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา "ลักษณะปรากฏของผู้ป่วย (Clinical phenotypes) พบว่า ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสายพันธุ์ JN.1 มีภาวะอ้วนมากกว่า (35.7% เทียบกับ 20.8%) แต่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องน้อยกว่า (20.4% เทียบกับ 41.4%) เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน XBB โดยสามารถสรุปเปรียบเทียบลักษณะของผู้ป่วยติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 และ XBB ได้ดังนี้

ความรุนแรงของโรค:
- ผู้ป่วยกลุ่มโอมิครอน XBB ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแบบ invasive มากกว่ากลุ่มโอมิครอน JN.1 เล็กน้อย (34.1% vs 29.1%) แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
- อัตราการเสียชีวิตที่ 28 วันของกลุ่มโอมิครอน XBB สูงกว่ากลุ่มโอมิครอน JN.1 (22% vs 14.6%) แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน แสดงว่าความรุนแรงของโรคโดยรวมไม่ต่างกันมากนักระหว่างโอมิครอน 2 สายพันธุ์ย่อย

การรักษา:
- ผู้ป่วยกลุ่มโอมิครอน JN.1 ได้รับยา dexamethasone ในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มโอมิครอน XBB อย่างมีนัยสำคัญ (87.5% vs 59.5%) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับจำนวนผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องน้อยกว่า Dexamethasone เป็นยาสเตียรอยด์ที่ใช้กดการอักเสบและภูมิคุ้มกัน จึงมักหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเพราะอาจทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงมากขึ้น เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส
- ทั้ง 2 กลุ่มได้รับยา tocilizumab ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน (14.5% vs 11.1%)
อนึ่งในช่วงการระบาดของโควิด-19 ยา tocilizumab ถูกนำมาใช้เสริมในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือวิกฤต เนื่องจากพบว่าการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 กระตุ้นให้เกิด cytokine storm หรือการหลั่ง cytokine อย่าง IL-6 มากเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบและทำลายอวัยวะอย่างรุนแรง การให้ tocilizumab จึงเป็นการควบคุมปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่เกินพอดีนี้
- มีผู้ป่วยกลุ่มโอมิครอน XBB เพียง 1 รายที่ได้ยาแอนติบอดีสังเคราะห์ ส่วนกลุ่มโอมิครอน JN.1 ไม่มีเลย แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

แสดงว่ารูปแบบการรักษาทั้ง 2 กลุ่มค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ยกเว้นการให้ dexamethasone ที่มากกว่าในกลุ่ม JN.1 อย่างเห็นได้ชัด

ที่น่าสนใจคือพบความแตกต่างด้านปัจจัยเสี่ยงบางประการเช่นภาวะอ้วนและภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง การศึกษานี้ช่วยให้เข้าใจลักษณะเฉพาะทางคลินิกของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ JN.1 ที่มีอาการรุนแรงจนต้องเข้า ICU มากขึ้น

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 มีภาวะอ้วนมากกว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ XBB อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (35.7% เทียบกับ 20.8%, p=0.033) นอกจากนี้ ค่ามัธยฐานของดัชนีมวลกายในกลุ่มผู้ป่วย JN.1 ก็สูงกว่ากลุ่ม XBB เช่นกัน (26.4 กก./ม2 เทียบกับ 25.0 กก./ม2, p=0.019)

ผลการศึกษานี้ทำให้ผู้วิจัยแปลกใจ เพราะภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคโควิด-19 มีอาการรุนแรงได้ ซึ่งพบตั้งแต่โควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม แต่ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยกลุ่ม JN.1 กลับพบภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องน้อยกว่า ทั้งที่ปกติภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน

นักวิจัยสันนิษฐานว่าผลการศึกษาเหล่านี้อาจบ่งชี้ว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ JN.1 อาจมีความรุนแรงน้อยกว่าในแง่การก่อโรค (less pathogenic) เมื่อเทียบกับสายพันธุ์โอมิครอนก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม การที่มีภาวะอ้วนมากขึ้นก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรงได้เช่นกัน

เหตุผลบางประการที่โรคอ้วนอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเจ็บป่วยจากโควิด-19 ที่รุนแรง:
- โรคอ้วนสามารถทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- เนื้อเยื่อไขมันสามารถเก็บเชื้อไวรัสไว้ได้นานขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วนอาจมีโรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น เบาหวานหรือโรคหัวใจ ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเจ็บป่วยจากโควิด-19 ที่รุนแรงได้

จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนและการติดเชื้อโอมิครอน JN.1 และเพื่อทำความเข้าใจกลไกที่อยู่เบื้องหลัง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

"นพ.ยง" แนะกลุ่มเสี่ยง-เปราะบาง ฉีด "วัคซีนโควิด" ลดเสี่ยงเสียชีวิต

รู้จัก "โพรไบโอติกส์" ตัวช่วยสำคัญผู้ป่วยลองโควิด (Long COVID)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง