นายกฯ ยืนยันส่ง "อุยเกอร์" กลับจีนถูกต้องตามกฎหมาย

ต่างประเทศ
9 ก.ค. 58
16:11
58
Logo Thai PBS
 นายกฯ ยืนยันส่ง "อุยเกอร์" กลับจีนถูกต้องตามกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการที่ไทยส่งตัวชาวอุยเกอร์ 100 คน ไปจีนเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2558 เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายและพันธะสัญญาระหว่างประเทศ ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติอย่างถูกต้อง พร้อมกับยืนยันว่าไทยไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้ง

วันนี้ (9 ก.ค.2558) พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีชาวตุรกีกลุ่มหนึ่งบุกเข้าทำลายสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของไทยในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกีเมื่อคืนวันที่ 8 ก.ค.ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ไทยส่งตัวชาวมุสลิมอุยเกอร์ 100 คนไปที่ประเทศจีน โดยนายกฯ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และคนไทยในตุรกีเป็นอันดับแรก รวมทั้งต้องดูว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจากอะไร ประเทศไทยเกี่ยวข้องแค่ไหน

"เราไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง พยายามอย่าเอาเราเป็นคู่ขัดแย้งทุกเรื่องเลย เราเป็นประเทศที่อยู่ตรงกลาง แต่เราต้องปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศในฐานะที่เป็นประเทศที่สามทั้งสิ้น มันมีกระบวนการตรวจสอบสัญชาติแล้วและแต่ละคนมีความผิดอะไร" พล.อ.ประยุทธ์กล่าวพร้อมกับระบุว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้แก้ไขเรื่องนี้ นอกจากนี้ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศประเมินสถานการณ์ว่าถ้ามีแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรงหรือไม่ หากมีแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรงก็ต้องปิดสถานทูตชั่วคราวและหาที่ทำงานใหม่ที่ปลอดภัย

ก่อนหน้านี้ สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า การส่งตัวชาวมุสลิมอุยเกอร์กลับไปยังจีนเป็นการละเมิดกฎหมายสากล และเรียกร้องให้ทางการไทยเร่งตรวจสอบการส่งตัวชาวอุยเกอร์ที่ไม่ประสงค์เดินทางกลับจีน ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ชี้แจงว่าได้ส่งตัวชาวอุยเกอร์กลับเนื่องจากมีหลักฐานว่าถือสัญชาติจีน

"ถ้าส่ง (ชาวอุยเกอร์) ไปแล้วมีปัญหาแบบนี้มันก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา ต้องย้อนกลับไปดูว่าเมื่อส่งไปแล้วมันมีความสงบหรือไม่ ซึ่งหากไม่สงบก็ไม่ใช่เรื่องของเราเพราะเราส่งไปให้แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกฯ ระบุว่า สถานการณ์ในตุรกีขณะนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ไม่มีรายงานคนไทยได้รับผลกระทบจากกรณีที่มีกลุ่มคนบุกรุกสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยในนครอิสตันบูล 

พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ไทยก็ได้ส่งตัวชาวอุยเกอร์กว่า 170 คน ไปยังตุรกีช่วงเดือนมิถุนายน หลังผ่านการพิสูจน์สัญชาติ และยังมีชาวอุยเกอร์อีกกว่า 50 คน ที่อยู่ระหว่างรอพิสูจน์สัญชาติ

ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เชื่อว่า สถานการณ์ในตุรกีจะไม่ยืดเยื้อ และปัญหาชาวอุยเกอร์จะไม่กระทบต่อความมั่นคงภายในของไทย
 
ตำรวจตุรกีส่งกำลังเข้าดูแลความปลอดภัยสถานกงสุลไทย

ตำรวจตุรกีเข้าดูแลสถานการณ์บริเวณหน้าสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (9 ก.ค.2558) ภายหลังจากที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ระบุว่าเป็นสมาชิก "สมาคมการศึกษาเตอร์กีสถานตะวันออก"  บุกเข้าทำลายอาคารและข้าวของเครื่องใช้ภายในสถานกงสุลได้รับความเสียหายเนื่องจากไม่พอใจที่ทางการไทยส่งตัวชาวมุสลิมอุยเกอร์ไปที่ประเทศจีน

ชนวนเหตุเกิดจากความไม่พอใจที่ไทยส่งตัวผู้อพยพชาวอุยเกอร์ 115 คน กลับไปจีน ซึ่งกลุ่มที่สนับสนุนชาวอุยเกอร์ในตุรกี วิตกกังวลว่า การส่งตัวผู้อพยพชาวอุยเกอร์กลับไปจีน อาจทำให้รัฐบาลจีนทำร้ายและสังหารชาวอุยเกอร์ได้  เนื่องจากรัฐบาลจีนควบคุมกิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม รวมทั้งการค้าของชาวอุยเกอร์อย่างเข้มงวด ทำให้ชาวอุยเกอร์บางส่วนต้องหนีออกไปหาที่พักพิงในต่างประเทศเพื่อหนีจากการกดดันของจีน
 
กต.เชิญเอกอัครราชทูตตุรกีประจำประเทศไทยเข้าพบ
เวลา 19.45 น. วันนี้ (9 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศได้สรุปสถานการณ์ล่าสุดเหตุการณ์บุกสถานกงสุลไทยในตุรกี ระบุว่า กระทรวงฯ ได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ติดตามสถานการณ์และประสานงานกับทางการตุรกีในทุกระดับอย่างใกล้ชิด ให้ดูแลสวัสดิภาพและทรัพย์สินของคนไทย โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ รายงานว่า ทางการตุรกีได้ให้คำมั่นจะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในตุรกีอย่างเต็มที่

"ในขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยเข้าพบ เพื่อหารือถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ฝ่ายตุรกีรับทราบข้อห่วงกังวลของฝ่ายไทย และยืนยันว่าทางการตุรกีให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของคนไทยและสถานเอกอัครราชทูตฯ ในตุรกีอย่างยิ่งยวด และได้เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยของสถานเอกอัครราชทูตฯ ด้วยแล้ว"

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศขอให้คนไทยในพื้นที่ ตลอดจนนักท่องเที่ยวไทยที่อยู่ในตุรกีหรือวางแผนเดินทางไปตุรกี เพิ่มความระมัดระวังและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด อนึ่ง สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ในกรณีฉุกเฉินได้ที่หมายเลข Hotline +๙๐ ๕๓๓ ๖๔๑ ๕๖๙๘ และติดตามข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ที่ https://www.facebook.com/rteankara


ข่าวที่เกี่ยวข้อง