โรงแรมในซอยร่วมฤดีเตรียมอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

10 ก.พ. 55
13:50
14
Logo Thai PBS
โรงแรมในซอยร่วมฤดีเตรียมอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

กรุงเทพมหานครสั่งให้สำนักงานเขตปทุมวันเข้ารื้อถอนอาคารของโรงแรมในซอยร่วมฤดี หลังศาลปกครองกลางตัดสินว่าการก่อสร้างโรงแรมในซอยร่วมฤดี ดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่ กรรมการบริษัทลาภประทาน จำกัด เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยนำเอกสารรับรองความกว้างของถนนซอยร่วมฤดีกว้าง 10 เมตร จากทางสำนักงานเขตปทุมวันมายืนยัน

อาคารสูงขนาด 24 ชั้น และ 18 ชั้น ของโรงแรมดิเอทัส ซึ่งตั้งอยู่กลางซอยร่วมฤดี ถูกศาลปกครองกลางตัดสินให้รื้อถอน เพราะเป็นสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมายควบคุมอาคาร ปี 2522 ที่กำหนดให้ปลูกสร้างอาคารในความสูงไม่เกิน 23 เมตร หรือประมาณ 7 ถึง 8 ชั้น สำหรับพื้นที่ถนนสาธารณประโยชน์ที่มีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร

โดยเหตุผลที่ชาวบ้านในซอยร่วมฤดียื่นฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น เนื่องจากเห็นว่าการก่อสร้างโรงแรมดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนและที่พักอาศัย รวมถึงปัญหาอัคคีภัย และการจราจรที่แออัด อาจทำให้ประชาชนเกิดความไม่ปลอดภัยแก่ชีวิต และทรัพย์สิน

ทั้งนี้ หนังสือรับรองจากสำนักงานเขตปทุมวันที่ระบุว่า ถนนร่วมฤดีมีความกว้าง 10 เมตรตลอดแนว ทำให้นายสุรเชษฐ วรวงศ์วสุ กรรมการบริษัทลาภประทาน จำกัด มั่นใจในหลักฐานเอกสารว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาน จึงเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด พร้อมกันนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ทำให้ถนนเส้นนี้มีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร อาจเป็นเพราะมีการปลูกสร้างอาคารรุกล้ำพื้นที่สาธารณะเพิ่มก็เป็นได้

ด้านกรุงเทพมหานครได้สั่งการให้สำนักงานเขตปทุมวันในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองกลางตัดสิน โดยแจ้งเจ้าของอาคารให้ดำเนินการรื้อถอนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ซึ่งเจ้าของอาคารสามารถยื่นเรื่องเพื่อขออุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้

นอกจากนี้ ยังสั่งการให้สำนักการโยธา นำกรณีดังกล่าว มาเป็นกรณีศึกษา เกี่ยวกับการขอยื่นแบบ เพื่อขอสร้างอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคารปี 2522 หรือมาตรา 39 ทวิ โดยเจ้าหน้าที่ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำเหมือนเช่นครั้งนี้ ส่วนการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในขณะนั้น คงต้องขอเวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งก่อน แต่หากพบว่ามีความผิดจริง จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทางวินัยกับเจ้าหน้าที่


ข่าวที่เกี่ยวข้อง