มศว วิจัย แหวกม่านย่านโลกีย์ "ซอยคาวบอย"

20 ก.พ. 55
09:05
65
Logo Thai PBS
มศว วิจัย  แหวกม่านย่านโลกีย์ "ซอยคาวบอย"

ปูมหลัง ชีวิตยามตะวันรุ่งและยามราตรีของผู้คนที่หลากหลายหวังเข้าใจผู้หญิง ไม่ดูถูก ส่วนใหญ่ส่งลูกเรียนระดับอุดมศึกษาเพียงเพราะอยากมีโอกาส

ผศ.จารุวรรณ ขำเพชร อาจารย์ประจำสาขาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยงานวิจัย จากการลงพื้นที่และทำงานวิจัยเชิงคุณภาพ ที่ใช้แนวคิดชีวิตประจำวันในการศึกษาชีวิตของผู้คนในซอยคาวบอย เรื่องชีวิตตะวันรุ่งและยามราตรีของผู้คนในซอยคาวบอย สุขุมวิท 23ว่าพื้นที่ มศว ประสานมิตรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เราเดินผ่านหรือนั่งรถผ่านทุกวันยังมีความหลากหลายทางอาชีพและอยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่มหาวิทยาลัย เราจึงควรจะได้ศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อว่าการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจะได้ไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดการดูหมิ่น ดูแคลนกัน งานวิจัยจึงศึกษาการไม่หยุดนิ่งของซอยคาวบอยในการดำรงอยู่และความเสื่อมถอย  ศึกษาวัฒนธรรมของผู้คนในซอยคาวบอยที่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ พื้นที่ในการศึกษาวิถีชีวิตของผู้คนซอยคาวบอย เริ่มจากซอยคาวบอยตั้งอยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท21 และสุขุมวิท 23 ในความเป็นจริงควรจะเรียกตรอกคาวบอยถึงจะถูกต้อง เพราะเป็นการเชื่อมระหว่างซอยสุขุมวิท 2 ซอยเข้าด้วยกัน

พื้นที่บริเวณซอยคาวบอยมีผู้คนที่เป็นคนชายขอบ ( Marginal people)ที่ต้องอพยพย้ายจากภูมิลำเนาดั่งเดิม ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเพื่อเข้ามาประกอบอาชีพในซอยคาวบอย ซึ่งได้แก่หญิงอาชีพพิเศษเด็กดริ้ง พ่อค้าแม่ค้า เด็กเสิร์ฟ จักรยานยนต์รับจ้าง ดังนั้นการที่พื้นที่ซอยคาวบอยมีกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาประกอบอาชีพหลากหลาย ทุกคนต่างมีทัศนคติ ค่านิยม พฤติกรรมและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้พื้นที่ซอยคาวบอยมีการผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ มากมายจากทั้งผู้ที่เข้ามาทำงาน และยังรวมถึงวัฒนธรรมจากผู้ที่เข้ามาใช้บริการในซอย พื้นที่ซอยคาวบอยจึงมิได้หมายถึงอาณาเขตบริเวณทางภูมิศาสตร์ที่มีความสำคัญเป็นเพียงซอยที่เชื่อมระหว่างถนนอโศกกับซอยสุขุมวิท 21 เท่านั้น

ในช่วงสงครามเวียดนามเป็นระยะเวลาที่ย่านสุขุมวิท มีการพัฒนากิจกรรมด้านพาณิชย์และบริการขึ้นอย่างสูง เนื่องจากมีทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหลายแห่ง เมื่อมีการพักผ่อนก็เดินทางเข้ามาเช่าที่พักอยู่แถวสุขุมวิทเป็นส่วนใหญ่เพราะสะดวกสบายในการเดินทาง มีโรงแรมและบ้านพักบริการในระดับราคาที่หลากหลาย ดังนั้นจึงเกิดสถานบริการ ไนต์คลับ บาร์และร้านอาหารขึ้น ในบริเวณตอนต้นของย่านสุขุมวิท บริเวณซอยนานาไปจนถึงแยกอโศกเพื่อรับรองนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่ได้ยินชื่อเสียงของบริเวณนี้ ซึ่งรวมถึงซอยคาวบอยด้วย

ซอยคาวบอยตั้งชื่อตามทหารอากาศอเมริกันที่เกษียณ ชื่อ ว่า T.G “COWBOY” EDWARDS ซึ่งได้เปิดกิจการบาร์แห่งแรกของซอยนี้ในปี พ.ศ. 2520 EDWARDS เป็นชาวอเมริกันผิวดำ เขาได้ชื่อเล่นว่าคาวบอยมาจากการที่เขาใส่หมวกคาวบอยเป็นประจำ และผู้คนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในซอยคาวบอยรุ่นแรกๆ จะมาเปิดร้านขายของชำ ร้านตัดเสื้อผ้าร้านเสริมสวย และเป็นที่อยู่อาศัย ต่อมาประมาณปี 2519-2520 มีการเปิดบาร์ชื่อ โกลด์ เลเบิ้ล เจ้าของเป็นคนเชื้อชาติแขกแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ต่อมาEDWARDS และชาวต่างชาติผิวดำมาเปิดบาร์ชื่อ “คาวบอย”ขึ้น  หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนจากบ้านที่อยู่อาศัยมาเป็นกิจการบาร์จนถึงปัจจุบัน และอะโกโก้บาร์กลายเป็นธุรกิจหลักของพื้นที่ในปัจจุบัน โดยมีร้านขายของชำ ร้านตัดผมที่เปิดมาตั้งแต่เริ่มเหลืออยู่เพียงสองสามแห่งเท่านั้น

เมื่อพูดถึงซอยคาวบอยนั้นจะเป็นซอยเล็กๆ  มีความยาวประมาณ 500 เมตรตัดผ่านระหว่างสุขุมวิท 23 และถนนอโศก (ซอยสุขุมวิท21 เดิม) ตัวตึกของอาคารที่ให้บริการเป็นอาคารพาณิชย์ขนาด 3 ชั้น จำนวน 50 ห้อง แถวละ 25 ห้องหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางเป็นถนน บริเวณซอยคาวบอยเป็นแหล่งสถานเริงรมณ์ที่เปิดเป็นประจำทุกวันเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 – 02.00น.ของวันใหม่ มีสถานบริการประมาณ 30 แห่ง พนักงานส่วนใหญ่มาจากภาคอีสานใต้ มีอายุประมาณ 18 – 40 ปี  มีจำนวนประมาณ 300 – 500 คน อยู่ในความรับผิดชอบของสถานีทองหล่อ ซึ่งได้จัดให้มีสายตรวจผ่านไปในพื้นที่เป็นประจำและยังมีตำรวจท้องที่ในเครื่องแบบหรือนอกเครื่องแบบมาประจำการอยู่

ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตกผิวขาว อย่างประเทศออสเตรเลีย ฮอลแลนด์ เยอรมัน อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี บางส่วนเป็นชาวเอเชีย อย่างญี่ปุ่น เกาหลี มีทั้งที่อาศัยอยู่ในละแวกสุขุมวิท ซึ่งอาจจะมาดื่มเป็นประจำทุกวันหรือทุกอาทิตย์ หรือนักธุรกิจที่ผ่านเข้ามาทำธุรกิจ หรืออาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งย้ายมาประจำในประเทศไทย ซึ่งลุกค้าเหล่านี้จะมาพักในประเทศไทยเป็นเวลา 2 – 3 วัน หรืออาจยาวนานหลายเดือน  ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก เจ้าของสถานบริการส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก  โดยมีภรรยาซึ่งเป็นชาวไทยทำหน้าที่ช่วยดูแลร้าน และดำเนินการจดทะเบียนตลอดจนสัญญาต่างๆ ให้ เจ้าของสถานบริการที่เป็นคนไทยมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ภรรยาเจ้าของ หรือฝรั่งที่เป็นเจ้าของมักจะเป็นผู้ที่เคยอยู่ในแวดวงสถานบริการมาก่อน  เจ้าของเองมักจะเป็นคนที่ชอบเที่ยวสถานบริการแบบนี้
 
ผศ.จารุวรรณ กล่าวอีกว่า การจะทำงานบาร์ในซอยคาวบอยนั้น ไม่ใช่ว่าใครจะเดินเข้ามาสมัครก็ได้ หากแต่จะอาศัยความเป็นเครือญาติเพื่อนพ้องน้องพี่ในท้องถิ่นของตัวเองแนะนำกันมา โดยในบาร์แต่ละแห่งจะมาผู้จัดการร้าน ที่เราเรียกกันว่า มาม่าซัง ซึ่งต้องมีประสบการณ์ในการทำงานบาร์มานานเป็น 10 ปี ถึงจะขึ้นสู่ตำแหน่งมาม่าซังได้  และต้องรู้จักและสนิทกับเจ้าของร้านเขาถึงจะไว้วางใจให้ช่วยดูแลร้านให้  โดยแบ่งเป็นหน้าที่ดังนี้ ผู้จัดการร้าน รองผู้จัดการร้าน  พนักงานเต้น พนักงานเสิร์ฟ และล้างจาน  พนักงานบาร์เหล้า การ์ดที่อยู่ด้านหน้า  แม่บ้าน ทุกคนจะรู้หน้าที่ของตัวเอง กฎระเบียบของร้านที่ถือเป็นกฎเหล็กนั่นก็คือ ร้านเปิด 1 ทุ่ม ปิดตี 2 ใครมาไม่ทันตัดนาทีละ 2 บาท หรืออาจจะมากกว่านั้นในบางร้าน

ถึงตอนนี้ผ่านวันวาเลนไทน์มาไม่กี่วันเพิ่งจะมีเด็กใหม่เข้ามา อายุประมาณ 14 – 15 ปี ซึ่งพ่อแม่ของเด็กจะนำมาฝากกับมาม่าซังเพราะเป็นคนพื้นเพเดียวกัน นำมาฝากที่ร้านเพราะพ่อแม่เด็กจะให้เหตุผลกับมาม่าซังว่าไหนๆ เด็กก็เสียตัวไปแล้วอยู่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไร ให้มาทำงานแบบนี้ ยังได้เงินกลับมา แต่หากมีผู้ประสงค์จะเข้ามาทำงานและเดินเข้ามาสมัครเองจะไม่มีใครรับ เพราะทางร้านไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้นานหรือไม่ บางคืนอยู่ร้านโน้น บางคืนไปอยู่อีกร้าน หรือถ้ามีบุคลิกลักษณะภายนอกที่มีรอยแผลเป็น รอยกรีด รอยสักตามตัว จะไม่ค่อยรับเข้าทำงาน เพราะสันนิษฐานว่าอาจติดยาเสพติด หรือดูจากลักษณะนิสัยเมาเหล้า เอะอะก็ไม่รับ แต่ถ้าเด็กในร้านติดยา ส่วนใหญ่จะติดจากแขกชาวต่างประเทศที่ให้ลอง  และหากเป็นพนักงานเก่า ทางร้านจะส่งไปบำบัดที่โรงพยาบาลปทุมธานีโดยออกค่าใช้จ่ายให้

หน้าที่ของมาม่าซังจะต้องอบรมพนักงาน โดยมีการประชุมทุกเดือนปัญหาที่พบส่วนใหญ่จะเป็นการลักขโมย และพฤติกรรมของเด็กที่ไม่เชื่อฟัง การลักขโมยเนื่องจากเด็กออกไปข้างนอกกับแขก แขกให้เงินพิเศษมาและยังไม่ได้ส่งกลับบ้าน นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือจะหายเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุที่ต้องนอนพักรวมกัน ทำไห้ไม่มีพื้นที่ในการรักษาสมบัติส่วนตัวได้มิดชิด การอบรมเด็กในร้าน มาม่าซังจะสอนเด็กให้รักตนเอง เพราะการทำงานลักษณะนี้ไม่ยั่งยืน ถ้าเก็บเงินทองได้มาก ก็แนะนำให้ไปเรียนภาษาอังกฤษ เผื่อจะได้แต่งงานกับฝรั่ง หรือสื่อสารกันได้มากกว่านี้ และยังแนะนำไม่ให้ไปสักตามตัวจะไม่เหมาะและไม่น่ายกย่อง ประเด็นสำคัญที่สอนกันอยู่บ่อยๆ คือการดูแลรักษาตัวเอง การออกไปข้างนอกกับแขก ต้องระวังตัวให้มาก เพราะไม่รู้ว่าใครดีหรือไม่ดี หากเจอพวกวิตถารให้รีบหนีเอาชีวิตรอดออกมาก่อน หากต้องไปโรงเแรมกับแขกไกลๆ ไม่มีใครไปช่วยดูแลได้ฉะนั้นต้องรู้จักระมัดระวังตัว  การทำงานเป็นทีมจึงเกิดขึ้น  โดยทางร้านจะไม่รับคนไทย ไม่รับชาวอาหรับ (แขก) เพราะกลิ่นตัวแรงจะไปรบกวนแขกคนอื่น

 ส่วนนักท่องเที่ยวที่เมาก็จะไม่อนุญาตให้เข้าข้างในร้าน ในช่วงที่ยังไม่ดึกมากหรือหัวค่ำพนักงานเต้นจะยังใส่เสื้อผ้า แต่ประมาณ 21.30 น.เป็นต้นไป พนักงานเต้นจะถอดเสื้อและไม่สวมอะไรเลย จะสวมเพียงรองเท้าบูทส้นสูงเท่านั้น เต้นให้ดูเป็นศิลปะ การดูแขกเข้าร้านจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนี้ชาวตะวันตกที่เป็นผู้ใหญ่จะชอบสาวใหญ่ในวัย 35 – 50 ส่วนเด็กวัยรุ่นชาวตะวันตกจะไม่นิยมเพราะเขามองว่าเหมือนลูก แต่หากเป็นชาวตะวันวันตกที่ยังไม่มีครอบครัวก็อาจจะใช้บริการสาววัยรุ่นบ้าง ซึ่งบางคนยังอยู่ในวัยเรียนและบางคนก็ยังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย เท่าที่ได้คุยบางคนส่งตัวเองเรียนและถ้าเรียนจบก็จะไม่เข้าสู่อาชีพนี้อีก แต่บางคนเป็นพนักงานของร้านและชาวต่างประเทศซื้อไปเป็นภรรยา ซึ่งเขาจะเรียกกันว่า ไปเป็นมาดาม ซึ่งต้องซื้อตัวกับทางร้านและอาจจะไปอยู่กับชาวต่างชาติประมาณ 3 – 4 ปี สุดท้ายก็อยู่กันไม่ได้ บางคนก็ต้องกลับมาทำงานรับแขกเหมือนเดิมแม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม

“งานวิจัยชิ้นนี้อยากทำให้คนส่วนใหญ่มองเห็นความเป็นคนของผู้หญิงที่ทำงานในยามค่ำคืน เมื่อไหร่ที่เรารู้จักรักตัวเอง เราก็ควรจะเข้าใจและรักคนอื่นได้ด้วย  ไม่ว่าเขาาจะทำงานชนิดไหน หรือมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร นอกเหนือจากการเรียนรู้ชีวิตและทำความเข้าใจพวกเขาแล้ว จะทำให้เห็นว่าโลกมันกว้างกว่าที่เราเป็นอยู่มาก นอกจากโลกในมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีโลกของผู้อื่นที่อยู่รายล้อมรอบมหาวิทยาลัย
 
นอกจากนี้อยากให้แนวทางการบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยได้ลงไปสู่ผู้หญิงกลุ่มนี้ด้วย เพราะพื้นที่ซอยคาวบอยก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย หากเราให้บริการวิชาการแก่ผู้หญิงกลุ่มนี้ในเรื่องการเก็บออมเงิน  การฝึกภาษาอังกฤษ ให้รู้ทักษะชีวิต การรู้เท่าทันการป้องกันตัวเอง จะทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้เขาจะเป็นเพียงผู้หญิงหาเงินแต่ในอีกสถานะหนึ่งเขาเป็นแม่ เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นลูก งานวิจัยอยากจะเปิดมุมมองและเข้าใจผู้หญิงกลุ่มนี้ อย่าไปติดกรอบเดิมๆ ว่าผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่ดี  ทำไมไม่ทำงานที่ดีกว่านี้  หากเขาเลือกได้ และเขามีโอกาส เชื่อว่าเขาคงจะไม่เลือกมาอยู่จุดนี้  ผู้หญิงที่ทำงานในซอยคาวบอยที่มีสถานภาพเป็นแม่ส่วนใหญ่จะส่งลูกเรียนแทบทุกคน และลูกก็จะเรียนในระดับอุดมศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยเปิด มหาวิทยาลัยปิด เพียงเพราะเขาอยากเห็นชีวิตของลูกดีกว่าและมีโอกาสที่ดีกว่าตัวเองด้วย”
 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง