แพทย์เตือนแค่มีพุงเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

สังคม
3 พ.ค. 55
03:25
16
Logo Thai PBS
แพทย์เตือนแค่มีพุงเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก เตือนแค่มีพุงเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ชี้สาเหตุเกิดมาจากพันธุกรรมเพียงร้อยละ 20 แต่จากการกินพบสูงถึงร้อยละ 80 แนะทานอาหารให้เหมาะสม ทำอารมณ์แจ่มใส ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

 ลักษณะการทำงานของคนเมือง ที่เร่งรีบส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องการกินอาหารที่ไม่เป็นเวลา   ความเครียดจากการทำงาน ทำให้ลืมนึกถึงเรื่องสุขภาพ  โรงพยาบาลนครธน จัดให้มีการบรรยายให้ความรู้ ในหัวข้อ การดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยแพทย์ทางเลือก เพื่อเรียนรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก 

 
 
นพ.ศิต เธียรฐิต  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลนครธน กล่าวว่าสาเหตุของโรคเบาหวานมาจาก  หลายสาเหตุ ทั้งด้านพันธุกรรมและพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ดูแลคนไข้มาพบว่า ของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานร้อยละ 20 มาจากพันธุกรรม ร้อยละ  80 มีสาเหตุเกิดจากพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหาร ที่เน้นอาหารประเภทแป้ง  ข้าว ขณะที่อาหารกลุ่มผักน้อยลง ความเครียด และการขาดการออกกำลังกาย  การทำงานหนักพักผ่อนน้อยลง ทำให้ร่างกายเสียสมดุล ซึ่งทางการแพทย์โรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติของการควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย เมื่อกินอาหารเข้าไปโดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรต เมื่อย่อยเป็นน้ำตาลแล้ว ร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าไปใช้ในเซลล์ได้ จากการที่ฮอร์โมนอินซูลิน หรือตัวควบคุมน้ำตาลได้เสียหน้าที่การทำงาน เพราะการดื้ออินซูลิน เนื่องจากบริโภคอาหารประเภทแป้งมากไป และสารพิษในอาหารที่เพิ่มขึ้นทำให้ตัวรับในการนำน้ำตาลเข้าเซลแปรปรวนไป จึงสรุปได้ว่า โรคเบาหวานมีสาเหตุมาจาก "กินแป้งมหาศาล กินหวานจนมดเคือง"
 
ส่วนจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน นพ.ศิต ระบุว่าถ้าเราใช้ชีวิต แบบมื้อเช้าไม่ค่อยได้ทานอาหาร ไปหนักมื้อเย็น กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น พวกแป้ง ข้าว ขนมปัง ขนมหวาน ไอศกรีม กินแล้วก็นอน ร่างกายเริ่มมีพุงยื่นออกมา แค่นี้ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนที่มีจุดพร่องต่างกัน บางครั้งอาจ 10 ปี -20 ปี ถึงจะพบว่าเป็นโรคเบาหวาน  ซึ่งวิธีตรวจง่ายสามารถไปตรวจที่โรงพยาบบาล ดูจากพฤติกรรมความเสี่ยง จะรู้ว่าเบาหวานเข้าใกล้เรามากเพียงใด 
 
ผู้ป่วยที่หายได้จากยาแผนปัจจุบันมีไม่ถึงร้อยละ 3
 
ส่วนวิธีรักษา นพ.ศิต  มองว่าเป็นโรคเบาหวาน แล้วคาดว่าจะหายจากโรคเบาหวานโดยการจ่ายยานั้น มีไม่ถึง ร้อยละ 3 ที่หาย เพราะที่บอกว่าจากพฤติกรรมของคนไข้เป็นหลักในการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย แต่ทางตรงกันข้าม ถ้าคนไข้รู้ว่ามีพฤติกรรมแบบไหน ต้องคุมอาหารอย่างไร อาหารอะไรที่ควรหลักเลี่ยง ควบคู่การใช้ยา และอาหารเสริม เช่น น้ำมันปลา คิวเทน ที่ช่วยในการเผาผลาญ ก็จะทำให้คุมเบาหวานได้ดีขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งที่จะหายขาดได้  จากประสบการณ์การรักษาโดยวิธีทางแพทย์ทางเลือกควบคู่กับการใช้ยาแผนปัจจุบัน  ร้อยละ 90 ที่หายได้ คนไข้ที่เข้าใจและยอมที่จะเปลี่ยนแปลงควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ใช้อาหารเสริมควบคู่ ในร้อยคน มี 90 คน ที่น้ำตาลดีขึ้นจนหยุดใช้ยาแผนปัจจุบันได้เลย ส่วนผลข้างเคียงจากโรคเบาหวาน เช่นไต ตา สมอง ในกลุ่มนี้ ถือว่าน้อยเพราะควบคุมอาหารได้ดีมาก
 
รักษาเบาหวานตามนาฬิกาชีวิต
 
ส่วนนาฬิกาชีวิตที่จะปรับมาใช้กับการรักษาโรคเบาหวาน นพ.ศิตต์ ระบุว่า หมอไม่ได้เป็นผู้กำหนดแต่ธรรมชาติเป็นตัวกำหนด อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ง่ายๆคือ พระอาทิตย์ขึ้นลงตามเวลา หรือโลกทำมุมกับดวงอาทิตย์แต่ละมุม ก็จะทำให้เกิดคลื่นเหนือไฟฟ้าที่สะท้อนต่อการทำงานของร่างกายที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างช่วงเช้า 05.00-07.00 FREE น.เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ สังเกตุจากเด็กเกิดใหม่ จะขับถ่ายในเวลาเช้าโดยไม่ต้องให้ใครบอก หรือไก่ขันตามเวลา 04.00 น. ที่เป็นช่วงเวลาของปอด  เช่นกันในแง่ของโรคเบาหวาน หากเราเข้าใจไลฟ์สไตน์ในชีวิตคนเมือง มื้อเช้าไม่ค่อยได้ทานอาหาร กลางคืนไม่ได้พัก ทำให้ระบบทุกอย่างในร่างกายแปรปรวน แต่เมือเข้าใจและปรับสมดุลว่าอาหารมื้อเช้าในนาฬิกาชีวิต 7.00-9.00 น.เป็นเวลาที่กระเพาะอาหาร ทำงานได้ดีที่สุดในการย่อยและแปรเปลี่ยนเป็นโมเลกุลเล็กๆ เพื่อใช้พลังงาน ถ้าใช้ในเวลานั้น กินอาหารอย่างเหมาะสม กลไกลการเผาผลาญของร่างกายก็จะทำงานอย่างไม่บกพร่อง ระบบเผาผลาญจะดีขึ้น ในขณะที่มื้อเที่ยงและมื้อเย็น ที่ไม่ได้ทำงานหนักทำงาน ไม่ได้ใช้แรงงานแนะนำให้กินเฉพาะกับข้าวก็พอ เพื่อลดแป้งลงตั้งแต่มื้อเที่ยงเป็นต้นไป เบาหวานก็จะไม่เกิดการสะสมและควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญก็เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายโดยตรง แดดอ่อนๆยามเช้าถ้าได้ออกกำลังกาย จุดระเบิดเปิดสวิทต์ให้ร่างกายได้เผาผลาญ ฮอโมนต่อมหมวกไต และฮอโมนไทรอยด์ เมื่อได้รับแสงแดดอ่อนๆในเช้า แสงแดดจะกระตุ้นให้การหลั่งฮอโมนทั้ง 2 ได้ดีขึ้น และจะทำให้ร่างกายเผาผลาญดีขึ้น เมื่อคนไข้เบาหวานที่ตื่นเช้า เล่นไทเก็ก ชี่กง ออกกำลังกาย จะควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้นจนแข็งแรงมากขึ้น
 
แนะออกกำลังกายลดไขมันส่วนเกินช่วงเช้า
 
นพ.ศิต แนะนำว่าการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับความต้องการว่าเพื่ออะไร ถ้าเพื่อลดไขมันส่วนเกิน ควบคุมน้ำตาล กระตุ้นการเผาผลาญ ช่วยเรื่องระบบฮอร์โมน ออกกำลังกายตอนเช้าจะดีกว่า แต่ถ้าต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรออกกำลังกายช่วงบ่าย แต่คนทีเป็นเบาหวานโดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ออกทั้ง 2 ช่วง ทุกเช้า และบ่ายเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อเพราะพบว่ามวลกล้ามเนื้อที่ดีขึ้นจะทำให้การเผาผลาญของคนไข้ดีขึ้น ยกตัวอย่างคนที่น้ำหนัก 70 กก. เท่ากัน 2 คน ที่มวลกล้ามเนื้อกับมวลไขมันต่างกัน คนที่มวลกล้ามเนื้อมากกว่าจะสามารถเผาผลาญได้ดีกว่า แต่คนที่มวลไขมันมากกว่าจะคุมน้ำตาลได้ไม่ค่อยดี มีความเสี่ยงนอกจากเบาหวาน ยังมีความดัน และโรคหัวใจตามมาอีกด้วย ดังนั้นในแง่การออกกำลังกายแนะนำให้ออกกำลังกายทุกเช้าเพื่อเผาผลาญไขมันส่วนเกิน และเสริมสร้างกล้ามเนื้อสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ช่วงบ่ายก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะหากหลังอาทิตย์ตกไปแล้ว จะทำให้การเผาผลาญโปรตีนมากขึ้นและไตทำงานหนักมากขึ้น บางรายอาจทำให้ไตบวมและไตเสื่อมได้ หากออกกำลังกายในช่วงดึกเยอะๆ
 
ดูแลสุขภาพจิตควบคุมความเครียดช่วยลดเบาหวาน
 
ส่วนเรื่องสภาพจิตใจ ค้นพบว่าหากเรามีอารมณ์เครียด หรือโมโห เสียใจ น้อยใจ ร่างกายจะมีกลไกลป้องกันตนเอง สมองจะสั่งการมายังฮอโมนต่างๆตั้งแต่ต่อมหมวกไต ไทรอยด์ให้หล่งฮอโมนที่ช่วยเพิ่มน้ำตาลในเลือดขึ้นมาให้ร่างกายมีน้ำตาลพอเพียงกับการต่อสู้กับปัญหานั้นๆ เหมือกับวัวเจอเสือ จะมีน้ำตาออกมา เพื่อให้มีน้ำตาลเพียงพอ ว่าถ้าไม่สู้ก็หนี แต่ขณะที่คนเครียดแล้วอยู่กับที่ เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ที่เหยียบคันเร่งอยู่กับที่แต่ไม่ออกตัว ก็จะเผาตัวเองอยู่กับที่  เช่นเดียวกับคนมีน้ำตาลขึ้นสูง เครียดอยู่กับที่ กับงาน กับตัวเองในห้อง จะทำให้น้ำตาลขึ้นภายในวินาที กว่าจะดึงลงได้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีความเครียดโดยนิสัย โกรธง่าย โมโหง่าย น้ำตาลจะแกว่ง แต่ถ้าเข้าใจเรื่องนี้และเริ่มปฏิบัติธรรม ปล่อยวาง เข้าใจโลก เข้าใจวิถีชีวิตมากขึ้น ปล่อยวางเรื่องราวต่างๆที่เป็นพบว่าจะควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี อย่างมีนัยสำคัญ
 
นพ.ศิต ยังแนะนำสโลแกน ที่จะทำให้ห่างไกลเบาหวาน คือ " อาหารเหมาะสม อารมณ์แจ่มใส ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาหารเหมาะสมคือแป้งน้อยๆ เคี้ยวนานๆ เน้นอาหารมื้อเช้า เที่ยงให้หลีกเลี่ยงแป้ง อารมณ์แจ่มใส หน้ายิ้มดี กว่าหน้ายักษ์ สวดมนต์ดีกว่าสวดคน ถ้าจะสวดคนไปสวดมนต์ดีกว่า "


ข่าวที่เกี่ยวข้อง