ปาฐกถาพิเศษ ยิ่งลักษณ์ ชี้ 4 แนวทางต้านทุจริตคอรัปชั่น
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในการเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องบทบาทภาครัฐ ต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในงานสัมมนาผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ 1 ในปี พ.ศ. 2551-2555 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จของการดำเนินงานตาม ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต4 ยุทธศาสตร์รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในประเทศไทย ทั้งในส่วนที่ล้มเหลวและในส่วนที่ประสบความสำเร็จเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรต่างๆ และสังคมไทย เพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การต่อต้านการทุจริต ให้มี ประสิทธิภาพและจะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น เกิดความโปร่งใสในระบบของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปราบกราม การทุจริตเป็นวาระของประเทศ รัฐบาลจึงได้บรรจุการปราบปรามคอรัปชั่นให้เป็น วาระเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการและเชื่อว่าวงจรนี้จะไม่กลับมาอีก เพราะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้การคอรัปชั่น กลับเข้าสู่ประเทศไทย หลายภาคส่วนจึงต้องให้การสนับสนุน ปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับทุกคนในองค์กรนอกจากนี้รัฐบาลได้น้อมนำการทำงาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ การระเบิดจากข้างในคือต้องเริ่มจากภายในองค์กรก่อน โดยรัฐบาลได้จัดให้มีการจัดทำ 1 โครงการ 1ข้อเสนอจากภายในองค์กร ในการปรับระบบลดการทุจริตรวมถึงการยกย่องบุคคลที่ทำงานดีให้สังคมได้รับรู้ เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานของคนดีต่อไป ทั้งนี้ ต้องขจัดวัฒนธรรมการซื้อขายตำแหน่งและการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการทุจริตและกฎหมายต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจและภาคเอกชน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล่าช้าใน ขั้นตอนต่างๆ
อย่างไรก็ตามภาครัฐได้ใช้ยุทธศาสตร์และกลไกขับเคลื่อน 4 แนวทาง คือ1.การปลูกจิตสำนึกค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมและสร้างวินัยให้แก่ทุกภาคส่วนโดยประสานในระดับนโยบาย ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม2.การรวมพลังแผ่นดินป้องกันและปราบปรามทุจริตให้มีการ กระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น ปรับปรุงกฏหมาย และกลไกการบริหารจัดการ3.เสริมสร้างความแข็งแกร่งในหน่วยงานต่อต้านการ ทุจริตสร้างจรรยาบรรณในการปฏิบัติงาน4.สร้างบุคลากรมืออาชีพในการปราบปราม ทุจริตมีระยะเวลาในการติดตามและประเมินผลงาน
ซึ่งกลไกทั้ง 4 แนวทางนี้จะทำให้การต่อต้านการทุจริตเกิดความเด่นชัดมีประสิทธิภาพมากที่สุด และจะยกระดับดัชนีความโปร่งใสของประเทศให้สูงขึ้น