รัฐบาลรีดภาษีชดเชยรายได้พลาดเป้า
ตลอด 1 ปีรัฐบาล ที่ใช้กระทรวงการคลัง เป็นเครื่องไม้เครื่องมือทุ่มงบประมาณนับแสนล้านบาทผ่านโครงการประชานิยมทั้งรถยนต์คันแรก รับจำนำข้าว ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ปริญญาตรี 15,000 บาท พร้อมประกาศลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง ระบุว่ารายได้รัฐลดลงไม่ต่ำกว่า 30,000 - 40,000 ล้านบาท ไม่นับรวมความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น แต่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่าโครงการเหล่านี้ถือว่าช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน แม้ว่าในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้ประโยชน์ด้วย
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทุ่มงบประมาณลงไป ไม่อาจต้านแรงเหวี่ยงจากวิกฤตหนี้ยุโรป และเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และจีนที่ชะลอตัว ทำให้สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งรัฐ และเอกชนปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีจากร้อยละ 7 - 8 เหลือร้อยละ 5 - 6 เพราะการส่งออก ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศลดลงประมาณ 50,000 - 100,000 ล้านบาท
เมื่อรายได้หลักประเทศ และการจัดเก็บรายได้ภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงเริ่มเห็นการปรับขึ้นภาษีบาป บุหรี่ สุรา และกำลังเพิ่มภาษีเบียร์ เพื่อชดเชยรายได้รัฐที่หายไปกับการลดภาษีน้ำมันดีเซล ทั้งนี้ หากรัฐบาลขยายอายุมาตรการจนถึงสิ้นปี จะคิดเป็นเงินที่หายไปทันทีกว่า 100,000 ล้านบาท
ขณะที่นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร สั่งเจ้าหน้าที่เร่งวางระบบเชื่อมโยงการทำธุรกรรมการเงิน ตั้งแต่ ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมถึงผู้อยู่นอกระบบภาษี ดารา นักร้อง นักกีฬา พร้อมติดตามตรวจสอบการจ่ายเงินภาษีของแพทย์ ผู้ประกอบการร้านค้า คาราวาน และหาบเร่อย่างใกล้ชิด หวังขยายฐานภาษี
ขณะที่ภาษีคนรวยกลับดูเหมือนมีความคืบหน้าไม่มาก โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มาตรการลดหย่อนภาษีเงิน รวมกับภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังย้ำว่าไม่ใช่เรื่องด่วน และนโยบายหลัก แต่ปัญหารายได้รัฐที่ไม่สอดคล้องกับรายจ่าย จำนวนมหาศาล และในช่วงใกล้ครบกำหนดจ่ายเสียภาษีครึ่งปี อาจเป็นช่วงที่ผู้เสียภาษีเผชิญกับการตรวจสอบที่เข้มงวดเป็นพิเศษ