การประท้วงต่อต้านสหรัฐฯยังทวีความรุนแรง
การชุมนุมประท้วงต่อต้านหนังหมิ่นศาสนาอิสลามในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก เป็นไปอย่างดุเดือด และรุนแรง เมื่อผู้ประท้วงที่ชุมนุมกันอยู่หน้าสถานทูตสหรัฐฯในกรุงจาการ์ต้า เปิดศึกปะทะกับตำรวจที่ระดมกำลังเข้ามารักษาความสงบ โดยผู้ประท้วงพากันขว้างปาก้อนหิน และระเบิดเพลิงเข้าใส่ รวมทั้งจุดไฟเผายางรถยนต์ ทำให้ตำรวจต้องฉีดน้ำแรงดันสูง และยิงแก๊สน้ำตาเข้าสลาย ผลจากการปะทะทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 11 นาย ส่วนผู้ประท้วงถูกจับกุม 4 คน และได้รับบาดเจ็บ 1 คน
ความรุนแรงเกิดขึ้น หลังจากสมาชิกของกลุ่มประชาชนอิสลาม และกลุ่มแนวร่วมผู้ปกป้องอิสลาม หลายร้อยคนชุมนุมประท้วงกันอย่างสันติในตอนแรก ก่อนที่จะเกิดการเผชิญหน้ากับตำรวจ ขณะที่ก่อนหน้านี้สถานทูตสหรัฐฯในกรุงจาการ์ต้าได้ประกาศแจ้งเตือนชาวอเมริกันในอินโดนีเซียว่าจะมีการชุมนุมประท้วงต่อต้านหนังหมิ่นศาสนาอิสลามครั้งใหญ่ ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน
ส่วนที่ปากีสถาน ตำรวจปราบจลาจลต้องใช้กำลังเข้าสลายกลุ่มผู้ประท้วงที่ชุมนุมต่อต้านหนังหมิ่นศาสนาอิสลามใกล้กับสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองละฮอร์ ทางภาคตะวันออกของประเทศ ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 นาย และมีผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีราชา เปอร์เวซ แอชราฟ ของปากีสถานมีคำสั่งให้กระทรวงข้อมูลข่าวสารปิดเว็บไซต์ยูทูปเป็นการชั่วคราว เพื่อไม่ให้มีการเข้าไปชมหนังหมิ่นศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นต้นเหตุความรุนแรง และเตือนผู้บริหารของกูเกิ้ลให้ระงับลิงค์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอพีได้แพร่ภาพที่ชาวลิเบียกำลังช่วยกันนำร่างของนายคริส สตีเว่นส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำลิเบีย ออกมาจากสถานกงสุลเมืองเบงกาซีในวันที่เกิดเหตุโจมตีเพื่อช่วยชีวิต โดยกลุ่มชาวลิเบียได้ช่วยกันนำตัวนายสตีเว่นส์ส่งโรงพยาบาล หลังเข้าไปพบร่างนายสตีเว่นส์อยู่ในห้องที่มืดสนิทในสถานกงสุล โดยที่ไม่รู้ว่านายสตีเว่นส์เป็นใคร
ล่าสุด สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์ประกาศปิดทำการสถานทูตเร็วกว่าปกติตอนเที่ยงวันนี้ และให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความจำเป็นเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากจะมีการชุมนุมประท้วงต่อต้านหนังหมิ่นศาสนาอิสลาม ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมหลายร้อยคน และจะทำให้การจราจรในบริเวณดังกล่าวติดขัด นอกจากนี้ สถานทูตสหรัฐฯยังเตือนให้ชาวอเมริกันในประเทศไทยอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง แม้จะยังไม่มีคำขู่ที่น่าวิตกในขณะนี้ก็ตาม