ภาคีบุหรี่ กระตุ้นรัฐเร่งออกกม. หลังไม่คืบ ส่งผลนโยบายคุมยาสูบอ่อนแรง

สังคม
6 พ.ย. 55
12:11
118
Logo Thai PBS
ภาคีบุหรี่ กระตุ้นรัฐเร่งออกกม. หลังไม่คืบ ส่งผลนโยบายคุมยาสูบอ่อนแรง

ประเมินผลภาครัฐปฏิบัติตามมติครม. คุมยาสูบ สธ.-คลัง-ศธ.-วธ.-สปสช. นำทีมผลงานน่าพอใจสุด นักวิชาการ เร่งมาตรการคุมโฆษณา การตลาด ขายออนไลน์ เพิ่มสิทธิรักษาโรคติดบุหรี่

 ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าว “กฎหมายบุหรี่โลกเป็นหมัน ไทยอ่อนแอและล้าหลัง” ที่โรงแรม เดอะสุโกศล โดยนพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทยและประธานรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก (2550-51) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ดำเนินมาตรการควบคุมการบริโภคยาสูบตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก มาตรา 5.3 การกำหนดและบังคับใช้นโยบายสาธารณะว่าด้วยการควบคุมยาสูบ เพื่อให้ประเทศภาคีอนุสัญญาปกป้องการแทรกแซงจากผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยาสูบ ซึ่งในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 เมื่อเดือนธันวาคม 2553 ได้มีมติเห็นชอบ “มาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพต้านยาสูบ” และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อลงความเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ทำตามแนวทางของกรอบอนุสัญญา

“อดีตไทยได้รับการยกย่องจากประเทศต่างๆว่า เป็นผู้นำด้านการควบคุมยาสูบประเทศหนึ่ง จนมีคำกล่าวถึงไทยว่า Thailand is again a world leader in tobacco control แต่ปัจจุบันหลังจากกรอบอนุสัญญามาตรา 5.3 มีมาแล้วกว่า 4 ปี แต่พบว่าไทยยังมีกฎระเบียบทางราชการออกมาบังคับใช้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ มีเพียงระเบียบที่ใช้ภายในกรมที่รับผิดชอบการควบคุมยาสูบเท่านั้น ทำให้เกิดความอ่อนแอต่อการควบคุมการบริโภคยาสูบเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลควรให้ความสำคัญและเร่งให้หน่วยงานต่างๆดำเนินการตามมติครม.” นพ.ทหัย กล่าว

ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการสำรวจความพึงพอใจเรื่อง มาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบของรัฐบาล โดยสำรวจจาก 38 องค์กรสุขภาพ หลังครบรอบ 6 เดือน ที่ครม.มีมติเห็นชอบ มาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพต้านยาสูบ พบว่า คะแนนรวมความพึงพอใจในการดำเนินนโยบายยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เฉลี่ย 3.3 จากเต็ม 10 คะแนน โดยกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับนโยบายควบคุมยาสูบโดยตรงได้คะแนนความพอใจมากที่สุด 5 ลำดับแรก คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ดร.ศิริวรรณ กล่าวว่า มาตรการที่ได้ดำเนินการสำเร็จแล้วคือ การขึ้นภาษีตามปริมาณ ช่วยทำให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่น้อยลง, การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ และประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องแนวทางปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติด้านการควบคุมยาสูบในสถานศึกษา ส่วนนโยบายที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จคือ กฎหมายควบคุมในการห้ามธุรกิจยาสูบทำกิจกรรมภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ, การห้ามโฆษณายาสูบทางอินเตอร์เน็ต, การเพิ่มสิทธิหลักประกันการรักษาโรคติดบุหรี่, การบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมายและการปราบปรามการลักลอบบุหรี่เถื่อน เป็นต้น

นายไพศาล ลิ้มสถิต นักวิชาการจากศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบมาตรการควบคุมยาสูบระหว่างไทยกับประเทศต่างๆ พบว่ามาตรการของไทยในปัจจุบันยังไม่เพียงพอและไม่เป็นไปตามกรอบอนุสัญญาฯ มาตรา 5.3 โดยเฉพาะการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากอุตสาหกรรมยาสูบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการทำธุรกิจ และการป้องกันการโฆษณา การทำการตลาดทางตรงและทางอ้อม

นายไพศาล กล่าวว่า ความสำเร็จของต่างประเทศ เช่น แคนาดา ออกกฎหมายให้อุตสาหกรรมยาสูบ ต้องรายงานและเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน เช่น ปริมาณการผลิต ยอดจำหน่ายยาสูบจำแนกตามประเภทและยี่ห้อ ประเทศฟิลิปปินส์ร่วมกับ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนออกระเบียบปฏิบัติ ป้องกันการติดต่อระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ทุกระดับ และประเทศเคนยา มีกฎหมายกำหนดคุณสมบัติป้องกันคณะกรรมการควบคุมยาสูบแห่งชาติที่มีส่วนได้เสียกับอุตสาหกรรมยาสูบต้องเปิดเผยข้อมูลของผู้ประกอบการ, ห้ามการจัดกิจกรรมโฆษณา ส่งเสริมการขาย ไม่ให้เกี่ยวข้องกับโครงการด้านกีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม การสันทนาการ การศึกษา


ข่าวที่เกี่ยวข้อง