วันนี้ (7 พ.ย.) เวลาประมาณ 13.30 น. ตามเวลาประเทศไทย หรือเวลา 01.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น สหรัฐอเมริกา นายบารัค โอบามา ซึ่งได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถคว้าชัยชนะจากคะแนนอิเล็คโทรัลโหวต 290 (อย่างไม่เป็นทางการ) จากทั้งหมด 543 คะแนน ส่งผลให้ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต ซึ่งรวมตัวอยู่ที่อยู่ที่หอประชุม มัลโคมิก เพลส (Malcomic place) โห่ร้องแสดงความดีใจ นับตั้งแต่เริ่มมีการลงคะแนนจนกระทั่งรู้ผลเลือกตั้ง ร่วมกันแสดงความยินดีกับนายโอบามา ที่รักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เป็นสมัยที่ 2
จากนั้น นายโอบามา พร้อมกับมิเชล และบุตรสาวทั้งสอง ขึ้นเวทีท่ามกลางเสียงแสดงความยินดี โอบามากล่าวแถลงว่า กว่า 200 ปีประวัติศาสตร์ของอเมริกา ก็มีการเปลี่ยนแปลงจากทุกคน มาร่วมกันเป็นหนึ่งมาสู่ความฝันของคนอเมริกัน เวลานี้แม้เวลาส่วนหนึ่งที่ใช้เวลาทำงานหนัก ก็จะก้าวต่อไปสู่การทำงานต่ออีกวาระ ก็จะก้าวต่อไป ไม่ว่าจะเลือกตั้งใคร แม้แต่มิตต์ รอมนีย์ ที่ร่วมชิงชัยประธานาธิบดีครั้งนี้ ก็เพื่อเป้าหมายทำเพื่อสหรัฐฯ ก้าวต่อไปข้างหน้า และขอบคุณรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ทำงานร่วมกันมา 4 ปีอย่างหนัก ซึ่งเขาไม่สามารถเป็นตัวเอง ถ้าไม่มีผู้สนับสนุนจำนวนมากเช่นนี้ ขอบคุณมิเชล โอบามา ที่มายืนตรงนี้ได้ ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ และในการทำงาน เขารักเธอมากๆ ขอบคุณลูกสาวทั้ง 2 คน ที่เติบโตเป็นเด็กผู้หญิงกำลังโตเป็นสาวที่น่ารัก และขอบคุณผู้ที่ร่วมรณรงค์หาเสียงครั้งนี้ โดยมาร่วมกันอยู่ที่ชิคาโก ดีที่สุดตั้งแต่มีมา เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ร่วมจารึกประวัติศาสตร์ด้วยกัน
"ทีมงานทุกคนทำให้ผมรู้สึกดีอย่างมาก ในการทำงานที่ยอดเยี่ยม" โอบามากล่าวชื่นชมทีมงานตัวเอง
นายโอบามา กล่าวอีกว่า การเมืองในเวลานี้ มีความสำคัญ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่ายคน 300 ล้านคนจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้ จึงเป็นก้าวสำคัญท่ำให้อเมริกาก้าวต่อไป นั่นหมายถึง ประชาธิปไตยมีความสำคัญ คนส่วนใหญ่มีความหวังเหมือนๆ กัน ทั้งนักเรียน ที่จะมีโรงเรียน มีการศึกษามีคุณภาพ การมีเทคโนโลยีที่ทั่วถึง ก้าวหน้า เพื่อความเท่าเทียม ไม่ใช่ประเทศชาติที่เต็มไปด้วยหนี้สิน มีความปลอดภัย มั่นคง มีกองทัพยิ่งใหญ่ มีกองกำลังที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่เพื่อมหาอำนาจ แต่เพื่อผลักดันและนำมาสู่สันติสุข เพราะทำให้อเมริกามีความพิเศษ จากความเชื่อว่าจะก้าวไปข้างหน้า ด้วยความร่วมมือกัน มีเสรีภาพ มีสิทธิ และมีความรับผิดชอบ ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ประเทศจึงจะยิ่งใหญ่ หลักการของอเมริกานั่นเอง
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวด้วยว่า เขาจะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น และสงครามในอัฟกานิสถานกำลังจะจบลง แม้ว่าจะได้คะแนนเสียงจากอีกฝ่ายหรือไม่ก็ตาม เราจะฟังเสียงของทุกคน แม้ไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้เขา แต่ก็ทำให้เขาเป็นประธานาธิบดี เป็นผู้นำที่ดี โดยพร้อมจะยื่นมือไปสู่พรรครีพับลิกัน เพื่อร่วมกันทำงาน ให้คนอเมริกันมีงานทำ โดยปรับปรุงระบบคนเข้าเมืองที่ไม่มีเอกสาร ทั้งย้ำว่า ไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง แต่การทำให้สหรัฐฯเดินหน้าไปได้ เป็นหน้าที่ของทุกคน
"คนอเมริกันเป็นคนช่วยเหลือเกื้อกูลกันซึ่งกันและกัน ในยามวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมงานถูกให้ออก หรือแม้แต่ยามภัยพิบัติ พายุแซนดี้พัดนิวยอร์ก แต่คนอเมริกันก็ช่วยเหลือกัน โดยลดความแตกต่างจากต่างพรรคมาช่วยเหลือกันได้ การสร้างอนาคตที่ดีให้กับคนรุ่นต่อไป เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นความหวังอนาคตของสหรัฐฯ ขอให้ทุกคนยังมีความหวังนั้นอยู่ แต่ไม่ใช่หวังลมๆ แล้งๆ ที่ไม่เห็นความจริง แต่อยากให้ทุกคนหวังต่อสู้ ก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ผมเชื่อในหลักการของสหรัฐฯ ที่ว่าแตกต่างแนวคิด ใครก็ตาม เชื้อชาติใด อายุ จนหรือรวย เพศใดก็ตาม แม้ทำงานหนัก ทำหน้าที่ อเมริกาเปิดโอกาสให้เต็มที่ เราทำงานด้วยกันได้ ท้ายที่สุดเราคือสหรัฐอเมริกา" นายโอบามา กล่าวโดยใช้เวลา 20 นาที
ด้านนายมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ก็ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ ที่สำนักงานใหญ่พรรครีพับลิกัน เมืองบอสตัน โดยกล่าวกับผู้สนับสนุนว่า เขาโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายโอบามาแล้ว และผู้สนับสนุนของนายโอบามาก็คงจะยินดีเช่นกัน ตนเอง และ แอน ภริยา ขออวยพรให้นายโอบามาและเพื่อชาติที่ยิ่งใหญ่ พร้อมทิ้งท้ายว่า เขาเชื่อมั่นในประชาชนชาวอเมริกัน และการที่เขาสู้ในศึกเลือกตั้งนี้ ก็เพื่อประเทศอเมริกานั่นเอง
ขณะที่นางลัดดา แทมมี ดัคเวิร์ธ นักการเมืองหญิงลูกครึ่งไทย-อเมริกัน และทหารผ่านศึกสงครามอิรัก ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคเดโมแครต เฉือนชนะ นายโจ วอลช์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกันร้อยละ 10 ทำให้ได้เป็น ส.ส. รัฐอิลินอยส์
ทั้งนี้ นางลัดดา เคยร่วมในกองทัพสหรัฐฯ ในสนามรบอิรัก โดยเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งถูกฝ่ายตรงข้ามยิงเฮลิคอปเตอร์ ทำให้เธอสูญเสียขาทั้งสองข้าง และแขนขวาพิการ เมื่อปี 2547