จับตา
ขณะที่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เชื่อว่า ประชาชนจะให้ความสนใจกับวุฒิสภาไม่น้อย หากแต่การอภิปรายนั้นต้องเน้นข้อมูลข้อเท็จจริง และนับเป็นบทพิสูจน์หน้าที่ของสภาสูง ว่าจะเป็นเวทีซักฟอกหรือฟอกตัวให้กับรัฐบาล
วิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาล ตกลงเบื้องต้นในกรอบเวลาตามญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ระหว่างวันที่ 25 - 27 หรืออาจล่วงเลยไปถึงวันที่ 28 พ.ย. หลังจากนั้นจะเป็นกรอบเวลาที่วิปวุฒิสภาตกลงไว้กับวิปรัฐบาล เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไป ก่อนมีพระราชกฤษฏีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไป
และแม้จะมีข้อจำกัดเรื่องเวลาด้วยเหตุที่รัฐบาลกล่าวอ้างถึงภารกิจการสำคัญของนายกรัฐมนตรี แต่วุฒิสภา ในฐานะผู้ยื่นญัตติก็ยืนยันถึงความจำเป็นในการขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพราะไม่เพียงเพื่อให้รัฐบาลชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นปัญหา แต่วุฒิสภายังต้องการสะท้อนแนวคิดและข้อเสนอแนะ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในนโยบายที่เป็นกรณีปัญหา โดยมุ่งหวังว่าผลการดำเนินนโยบายควรเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และประเทศควรสูญเสียน้อยที่สุด
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เชื่อตรงกันว่า เวทีการอภิปรายของวุฒิสภาจะได้รับความสนใจไม่น้อย แม้จะเกิดขึ้นหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่เชื่อกันว่า จะเข้มข้นและร้อนแรง โดยเฉพาะบรรยากาศการอภิปราย
แต่ ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล กล่าวว่า เงื่อนไขสำคัญของการอภิปรายนั้น ฝ่ายค้านและรัฐบาลต้องซักถามและชี้แจงด้วยประเด็น ไม่ใช่การใช้สำนวนโวหารหรือเล่นเกมทางการเมือง และหากเป็นเช่นนั้น เวทีของวุฒิสภา อาจกลายเป็นเวทีที่ประชาชนหวังกรองข้อมูลและเชื่อในข้อเท็จจริงจากวุฒิสภา
ในทางกลับกัน รศ.ตระกูล มีชัย เห็นว่า เวทีอภิปรายของวุฒิสภาเป็นได้ทั้งเวทีซักฟอกรอบ 2 ซึ่งอาจซ้ำเติมรัฐบาล หากชี้แจงไม่ชัดเจน แต่ก็อาจเป็นเวทีฟอกตัวของรัฐบาลได้ หากฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจไร้ประสิทธิภาพและใช้กลเกมทางการเมือง มากกว่าจะยึดโยงกับประเด็นข้อเท็จจริง เจตนารมณ์ของการเปิดอภิปรายทั่วไป คือการเปิดทางให้รัฐบาลได้แถลงข้อเท็จจริงและชี้แจงปัญหาสำคัญของบ้านเมืองผ่านวุฒิสภา ด้วยเหตุที่เห็นว่าสภาสูง ควรปราศจากอคติและไร้ซึ่งผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง จึงให้สิทธิ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เข้าชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ