กมธ.กิจการเด็กฯเตรียมเสนอ 5 แนวทางแก้ปัญหาค้ามนุษย์
จากกรณีที่สหรัฐฯระบุให้ไทยเป็นประเทศในกลุ่มที่ 2 ของบัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องจับตามองเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ถึง 2 ปีซ้อน โดยรายงานที่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศต้นทาง ปลายทาง และทางผ่านสำหรับการค้าผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กเพื่อการบังคับใช้แรงงาน และการบังคับค้าประเวณี
โดยเหยื่อค้ามนุษย์ที่พบในไทยส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกบังคับ หรือล่อลวงมา เพื่อถูกใช้แสวงหาประโยชน์ในธุรกิจทางเพศ อุตสาหกรรมประมง โรงงานแปรรูปอาหารทะเล โรงงานผลิตเสื้อผ้าราคาถูก และงานรับใช้ตามบ้าน
อีกทั้งแรงงานต่างด้าว ชนกลุ่มน้อย และบุคคลไร้สัญชาติในไทยเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์มากกว่าคนไทย ขณะที่นายหน้าจัดหาแรงงานในขบวนการค้ามนุษย์นั้นมีทั้งที่เป็นคนไทย และคนต่างชาติ ทำงานเป็นเครือข่ายร่วมมือกับนายจ้าง และบางครั้งร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย
จากรายงานดังกล่าวทำให้คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎรได้มีการทำการศึกษาปัญหาดังกล่าว และทำข้อเสนอแนะ เพื่อส่งให้รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีเร่งพิจารณาดำเนินการแก้ไข
โดยผลการศึกษาพบปัญหาหลัก 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การขาดประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ช่องว่างการบังคับใช้กฎหมาย 3.การขาดฐานข้อมูลที่ชัดเจน และ 4.ขาดการให้ความรู้ประชาชน
จึงมีข้อเสนอให้ปรับปรุงการทำงานเร่งด่วน เช่น จัดตั้งฐานข้อมูลกลางด้านการค้ามนุษย์จัดตั้งสำนักงานป้องกันและปรามปรามการค้ามนุษย์ให้มีลักษณะคล้ายกับการทำงานปราบปรามยาเสพติดของ ป.ป.ส. ตลอดจนประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อความเข้าใจกับประชาชน
โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอให้มีาการตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นเพื่อติดตามปัญหานี้ โดยมี ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รับผิดชอบในการติดตามปัญหาเชิงลึก เพื่อนำสเสนอเป็นมาตรการระยะยาวและในโอกาสที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเดินทางมาเยือนประเทศไทย จะเป็นโอกาสดีที่นายกรัฐมนตรีจะได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว เพื่อให้เห็นถึงข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย
สำหรับสถิติการค้ามนุษย์ในประเทศไทยปี 2553 และปี 2554 พบว่ามีการทำความผิดในการค้าประเวณีจาก 58 คดี เป็น 67 คดี การบังคับใช้แรงงานจาก 10 เป็น 13 คดี มีผู้เสียหาย เฉพาะในปี 2554 ถึง 279 คน