สตช. เรียกผู้รับสัมปทานสร้าง สน. ชี้แจงเหตุทิ้งงาน วันนี้

สังคม
4 ก.พ. 56
02:52
87
Logo Thai PBS
สตช. เรียกผู้รับสัมปทานสร้าง สน. ชี้แจงเหตุทิ้งงาน วันนี้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมเรียกตัวแทนบริษัทผู้ได้รับสัมปทาน โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศให้เข้าชี้แจง วันนี้ (4 ก.พ.) หลังสถานีตำรวจที่ก่อสร้าง เกือบทุกแห่งสร้างไม่เสร็จ และถูกทิ้งงาน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมเรียกผู้บริหารบริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญา สัมปทานการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศมาชี้แจง ในวันนี้ (4 ก.พ.) รวมถึงสอบถามทิศทางหากถูกยกเลิกสัญญา และรับฟังปัญหา มีรายงานว่า 1 ใน ข้อตกลงตามสัญญาจ้าง ที่ทางบริษัท พีซีซีฯ จะใช้อ้างถึงปัญหาการก่อสร้างล่าช้า เพราะมีสัญญาเดียว และยังมีสถานีตำรวจถึง 11 แห่ง ที่ยังไม่ส่งมอบพื้นที่ให้ โดยเฉพาะสถานีตำรวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังมีปัญหาความไม่สงบ

ด้าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เตรียมเรียกตำรวจระดับหัวหน้าสถานี ให้เข้าหารือแนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้น เพราะทั้งประชาชนและตำรวจได้รับผลกระทบจากความล่าช้าการก่อสร้างโครงการนี้

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น มีโอกาสชี้แจงน้อย แต่ขณะนี้พร้อมจะชี้แจงแล้ว  เบื้องต้นจากการตรวจสอบ พบว่า คณะรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติงบประมาณ ส่วนรายละเอียดเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างนั้น มีลำดับอำนาจหน้าที่อยู่ ซึ่งนายสุเทพ ก็อนุมัติ ตามที่หน่วยงานเสนอทุกครั้ง และสิ่งที่หน่วยงานขอมาไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติต่อระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง และถ้าดูจากตัวเลขการประมูล ก็ไม่ได้มีการฮั้วเพราะเสนอราคาต่ำกว่ากันมาก ส่วนปัญหาการทิ้งงานก็เป็นเรื่องการบริหารสัญญา ถ้าหากมีผู้ประมูลแล้วทำไม่ได้ เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่ต้องบริหารสัญญาว่า จะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดังนั้น จึงไม่ใช่อำนาจของรองนายกรัฐมนตรี

ส่วนนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า การก่อสร้างโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศ มีผู้รับเหมาช่วง และผู้รับเหมาช่วงไม่ได้เงิน จากผู้รับเหมาที่ได้มีการเบิกเงินไปแล้วกว่า 1,500 ล้านบาท โดยหลังจากนี้จึงจะดำเนินการรวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อยื่นเรื่องต่อเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง. ในวันที่ 5 ก.พ. เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน นอกจากนี้ จะยื่นหลักฐานต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. อีกครั้งหนึ่ง


ข่าวที่เกี่ยวข้อง