เบื้องหลังความสำเร็จของ "จอห์น-จิม ฮาร์บอจ์" 2 โค้ชคู่ชิงซุปเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 47

กีฬา
5 ก.พ. 56
03:52
145
Logo Thai PBS
เบื้องหลังความสำเร็จของ "จอห์น-จิม ฮาร์บอจ์" 2 โค้ชคู่ชิงซุปเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 47

ความสำเร็จของจอห์น และจิม ฮาร์บอจ์ สองหัวหน้าโค้ชคู่ชิงซุปเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 47 ถือว่ามีรากฐานที่สำคัญมาจากครอบครัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะแจ๊ค ฮาร์บอจ์ ผู้เป็นพ่อที่ปลูกฝังกีฬาชนิดนี้ให้กับทั้งสองคนตั้งแต่เด็ก โดยแจ๊ค ฮาร์บอจ์ เคยเป็นทั้งผู้เล่นอเมริกันฟุตบอล และหัวหน้าโค้ชให้กับทีมตั้งแต่ในระดับโรงเรียน ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งด้วยฝีมือการคุมทีมที่ดี ทำให้แจ๊ค ฮาร์บอจ์ได้รับข้อเสนอจำนวนมาก จนต้องหอบหิ้วครอบครัวย้ายบ้านถึง 17 ครั้ง

และด้วยการปลูกฝังของพ่อ ทำให้ทั้งจอห์น และจิม ฮาร์บอจ์ สนใจกีฬาอเมริกันฟุตบอลตั้งแต่เด็ก แต่จิม ฮาร์บอจ์ ผู้น้องดูจะประสบความสำเร็จในฐานะผู้เล่นมากกว่า เมื่อสามารถก้าวขึ้นไปเล่นในเอ็นเอฟแอลได้สำเร็จ โดยเคยร่วมทีมชื่อดังอย่างชิคาโก แบร์ส, อินเดียนาโพลิส โคลท์ส รวมไปถึงบัลติมอร์ เรฟเวนส์

ขณะที่จอห์น ผู้พี่ทำได้เพียงแค่การเป็นผู้เล่นให้กับทีมมหาวิทยาลัยไมอามี่เท่านั้น ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับทีมมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มิชิแกน ซึ่งมีพ่อของเขาเป็นหัวหน้าโค้ช

   

โดยก่อนหน้าการแข่งขันซุปเปอร์โบว์ล จิม ผู้น้องดูจะประสบความสำเร็จในการเป็นโค้ชมากกว่า โดยสามารถนำทีมมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด คว้าแชมป์โอเร้นจ์ โบว์ล หรือซุปเปอร์โบว์ลในระดับมหาวิทยาลัยมาครองได้ในปี 2010 ก่อนจะถูกโฟร์ตี้ไนเนอร์สดึงตัวมาเป็นหัวหน้าโค้ชเมื่อปีที่แล้วด้วยสัญญา 5 ปีมูลค่าสูงถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 750 ล้านบาท

ส่วนจอห์นก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าโค้ชบัลติมอร์ เรฟเวนส์เมื่อปี 2008 และแม้จะนำทีมชนะได้มากถึง 62 นัดในรอบ 5ปี เป็นรองเพียงทีมนิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จแบบเป็นชิ้นเป็นอันมากเท่าไรนัก

โจอานนี่ น้องสาวของทั้งสองคนเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆทั้งสองคนชอบแข่งขันกันมาก และชอบคิดการแข่งขันแปลกๆ เช่น การปาลูกบอลให้ลอดระหว่างกิ่งต้นไม้ หรือแม้กระทั่งการแข่งขันตัดหญ้าที่สนาม ซึ่งบางครั้งการแข่งขันก็เลยเถิดจนทำให้ทั้งสองคนทะเลาะ ชกต่อยกัน จนคุณแม่แจ๊กเกอลีนต้องเข้ามาห้าม โดยจิมดูจะเป็นคนที่ชอบแข่งขัน และไม่ชอบความพ่ายแพ้มากที่สุด

   

อย่างไรก็ตาม ด้วยการสั่งสอนของคุณแม่แจ๊คเกอลีน และการดูแลของคุณพ่อแจ๊ค ทำให้สองพี่น้องจอห์น และจิม เรียนรู้ถึงความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเห็นได้คำสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของจิมที่พูดถึงจอห์นพี่ชายของเขาว่า จอห์นเป็นเหมือนต้นแบบของเขา นอกจากภรรยาของเขาแล้ว จอห์นเป็นเหมือนพ่อ และเพื่อนรัก และยอมรับว่าเขายังมีความสามารถในการฝึกสอนได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของพี่ชาย

ขณะที่จอห์นก็พูดถึงน้องชายว่า คนส่วนใหญ่ชอบมองจิมผิดไป จริงๆแล้วจิมเป็นคนที่อบอุ่น และตลกมาก เพียงแต่บางครั้งด้วยความเป็นตัวของตัวเองมากไป อาจทำให้คนเข้าใจจิมผิดไปได้

ขณะที่แจ๊ค พ่อของทั้งสองคนให้สัมภาษณ์ว่า เขายึดแนวทางการดูแลลูกๆของเขาในการก้าวไปเป็นนักกีฬา หรือผู้ฝึกสอนเหมือนกับคำสอนพ่อของบ็อบ เฟลเลอร์ อดีตยอดนักเบสบอล ซึ่งบอกว่า ให้ใช้เวลากับลูก, พาลูกไปชมการแข่งขัน และข้อสุดท้าย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญก็คือ เชื่อใจ และเชื่อมั่นในตัวลูก ซึ่งบทเรียนนี้ไม่จำเป็นจะต้องเกี่ยวกับกีฬาก็ได้ กับลูกๆที่สนใจด้านอื่นๆ เช่น ดนตรี, ศิลปะ หรือกิจกรรมอื่นๆ ขอเพียงผู้เป็นพ่อ แม่ ให้การสนับสนุน และเป็นแรงใจอยู่ข้างๆก็เพียงพอแล้ว

ส่วนแจ๊คเกอลีนแม่ของจอห์น และจิมก็บอกว่า ภูมิใจกับความสำเร็จของลูกชายทั้งสองคน แต่สุดท้ายแล้วจะมีลูกคนหนึ่งที่ต้องผิดหวัง ซึ่งเขา และภรรยาก็พร้อมที่จะอยู่ร่วมกับความผิดหวังของลูกด้วย และพร้อมจะก้าวเดินไปกับลูกๆไม่ว่าเส้นทางนั้นจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ หรือก้อนหินก็ตาม

  
 

คำคมวันนี้เป็นของจอห์น ฮาบอจ์ หัวหน้าโค้ชบัลติมอร์ เรฟเว่นส์ ผู้นำทีมคว้าแชมป์ซุปเปอร์โบว์ลส ครั้งที่ 47 ไปเมื่อวานนี้

"ไม่มีโค้ชคนใดในเอ็นเอฟแอล หรือแม้แต่ในโลกนี้ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าจิม ฮาร์บอจ์ และการเล่นของพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้ว" คำพูดนี้เกิดขึ้นภายหลังการแข่งขันซุปเปอร์โบวล์ส ซึ่งแม้จอห์น ฮาบอจ์ จะเป็นผู้ชนะในนัดนี้ แต่ก็ยังกล่าวยกย่องจิม ฮาบอจ์ หัวหน้าโค้ชซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์สซึ่งเป็นน้องชายร่วมสายโลหิต


ข่าวที่เกี่ยวข้อง