ภาพยนตร์รางวัล "ออสการ์ 2013" กับประเด็นที่เชื่อมโยงการเมือง

Logo Thai PBS
ภาพยนตร์รางวัล "ออสการ์ 2013" กับประเด็นที่เชื่อมโยงการเมือง

ไม่เสมอไปว่ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยมต้องเป็นของคู่กันบนเวทีออสการ์ เมื่อ Argo คว้ารางวัลสูงสุดได้ แม้จะไร้ชื่อผู้กำกับเข้าชิง บรรยากาศในงานยังเชื่อมโยงประเด็นทางการเมืองผ่านภาพยนตร์หลายเรื่องของออสการ์ในปีนี้

การตรึงผู้ชมไปกับการช่วยเหลือตัวประกันสหรัฐฯ ระหว่างการปฎิวัติอิสลามในอิหร่าน คือ ความยอดเยี่ยมในการดำเนินเรื่องของ คริส เทอร์ริโอ ผู้คว้ารางวัลออสการ์จากการดัดแปลงวิกฤตการณ์ปี 1979 มาถ่ายทอดบนแผ่นฟิล์ม ทำให้ เบน อัฟเฟลค ผู้กำกับและนักแสดงนำภาพยนตร์เรื่อง Argo ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าถ่ายทำตามบทที่ร่างเอาไว้ จนหนังประสบความสำเร็จสูงสุดในงานแจกรางวัลออสการ์ โดยคว้าไปได้ 3 สาขา รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และทำให้อัฟเฟลคกลายเป็นผู้กำกับรายที่ 4 ในประวัติศาสตร์ 85 ปีออสการ์ที่ส่งผลงานคว้าความสำเร็จสูงสุด แต่ตัวเองกลับถูกมองข้าม

ขณะที่ อั่งลี่ คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากการดัดแปลง Life of Pi หนึ่งในวรรณกรรมที่ได้ชื่อว่าไม่สามารถสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ ให้กลายเป็นหนังแฟนตาซีที่ประสบความสำเร็จ และคว้าออสการ์สูงสุดในปีนี้ถึง 4 สาขา ก็ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ผู้กำกับชาวไต้หวันได้รับการยอมรับในฝีมือการกำกับ แต่ไม่สามารถส่งผลงานของตนประสบความสำเร็จสูงสุดบนเวทีออสการ์

   

ความเชื่อว่า รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ย่อมมาจากฝีมือของผู้กำกับเป็นหลัก จนมีหนังถึง 62 เรื่องที่คว้าทั้งสองสาขาพร้อมกัน แต่ในเวทีแจกรางวัลชั้นนำของเทศกาลภาพยนตร์ในยุโรป การคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และสาขาการกำกับมักแยกจากกันอย่างชัดเจน จากทัศนคติที่มองว่า เทคนิคของผู้สร้างไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้หนังออกมายอดเยี่ยม หรือหนังที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมาจากฝีมือในการสร้างภาพยนตร์ของผู้กำกับเพียงลำพัง

ความน่าสนใจในหนังที่ชนะเวทีออสการ์ปีนี้ คือ มีเนื้อหาที่เชื่อมโยงการเมือง นอกจาก Argo แล้วยังมีทั้ง Lincoln หนัง 2 รางวัลออสการ์ที่เล่าถึงการก้าวผ่านความขัดแย้งของอดีตคู่แข่งทางการเมืองนำไปสู่การเลิกทาส และยุติสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ที่ส่งให้ แดเนียล เดย์ ลูอิส ผู้รับบท อับราฮัม ลินคอล์น ทำสถิติเป็นนักแสดงคนที่ 4 ที่คว้ารางวัลทางการแสดงของออสการ์ได้ถึง 3 ครั้ง

   

Zero Dark Thirty ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลร่วมในสาขาตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม เล่าถึงการนำข้อมูลเชิงลึกของซีไอเอที่ไปสู่การตั้งคำถามต่อแผนการล่าสังหารอดีตผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์  หรือแม้แต่หนังเพลงอย่าง Les Misrables เจ้าของ 3 รางวัลออสการ์ปีนี้ ก็สอดแทรกเนื้อหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมก่อนการปฎิวัตฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 เอาไว้อย่างเข้มข้น

ขณะที่ในเมืองไทยการสร้างภาพยนตร์หรือละครที่มีเนื้อหากับการเมืองมีไม่มากนัก นอกจากเป็นเพราะมีผู้ชมในวงจำกัดแล้ว บ่อยครั้งยังถูกเซนเซอร์ เช่น มหาลัยสยองขวัญ ที่มีการตัดฉากลิฟท์แดง ที่อ้างว่าเป็นสถานที่ซึ่งนักศึกษาถูกยิงในเหตุการณ์ 6 ตุลา จนถึงการแบน shakespeare must die ที่มีเนื้อหาวิพากย์ประเด็นขัดแย้งทางการเมืองในสังคมปัจจุบัน

นอกจากนี้ การใช้เนื้อหาทางการเมืองเป็นจุดขาย ยังทำให้ภาพยนตร์ออสการ์ปีนี้เป็นที่ตอบรับจากผู้ชมอย่างสูง เมื่อเป็นครั้งแรกที่มีหนังลุ้นออสการ์ถึง 6 เรื่องทำเงินในสหรัฐฯ เกินหลักร้อยล้านดอลลาร์ นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้สร้างที่ต้องการนำประเด็นทางการเมืองมาสู่แผ่นฟิล์ม ซึ่งจะช่วยให้ภาพยนตร์กลายเป็นเครื่องมือบันทึกประวัติศาสตร์ มากกว่าเป็นแค่มหรสพเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว


แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง