"โฆษกพันธมิตรฯ"แจงเหตุไม่เข้าร่วมวงหารือแนวทางนิรโทษกรรม

การเมือง
11 มี.ค. 56
07:17
92
Logo Thai PBS
"โฆษกพันธมิตรฯ"แจงเหตุไม่เข้าร่วมวงหารือแนวทางนิรโทษกรรม

โฆษกพันธมิตร โพสต์เฟซบุ้คอธิบายเหตุผลไม่เข้าร่วมวงหารือแนวทางนิรโทษกรรม พร้อมเดินหน้าต่อต้านการนิรโทษกรรมนอกสภาเต็มที่

วันนี้ (11 มี.ค.) เมื่เวลาประมาณ 09.00 น.ที่ผ่านมา นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ้ค "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" โดยอธิบายถึงเหตุในการไม่เข้าร่วมเวทีการหารือแนวทางการนิรโทษกรรม ที่จัดโดยนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานรัฐสภา ดังนี้

"ผมตัดสินใจไม่ไปร่วมการปรึกษาหารือการบรรเทาความขัดแย้ง ตามคำเชิญของ นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในเช้าวันนี้ (11 มีนาคม 2556) ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

ถึงแม้ว่า รองประธานสภาผู้แทนราษฎร จะรีบตอบสนองข้อเสนอในการเชิญคนทุกกลุ่ม และเชิญมากกว่าที่พันธมิตรฯเสนอไปอีก 3 กลุ่ม คือ ทหาร, พรรคภูมิใจไทย, กลุ่มเสื้อหลากสี แต่ในที่สุดก็เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มที่พันธมิตรฯเสนอให้เชิญประกาศแล้วว่าจะไม่มาถึง 4 กลุ่ม คือ ประชาธิปัตย์, คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม, องค์การพิทักษ์สยาม, และ คอป.

อย่างไรก็ดีกรณีการหารือตามที่พันธมิตรฯเสนอนั้น ได้ปรากฏเป็นคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ว่าเห็นด้วยให้มีการนิรโทษกรรมแต่ไม่เข้าร่วมด้วยเพราะสนใจแต่ที่จะล้มรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว ในขณะที่ คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ได้ส่งหนังสือถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ให้ดำเนินการตามข้อเสนอของบทความที่คุณนิชาได้เคยเสนอ และทำตามข้อเสนอของ คอป.โดยที่คุณนิชาจะไม่ขอเข้าร่วมประชุมอันเนื่องมาจากบรรยากาศในขณะนี้ยังไม่เหมาะสม ในขณะที่ อ.คณิต ณ นคร ก็จะไม่ขอเข้าร่วมในนาม คอป. เพราะได้จบรายงานทุกอย่างแล้ว หากต้องการทราบจุดยืนให้อ่านจากรายงาน ดังนั้นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงสามารถทราบจุดยืนของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการเข้าร่วมประชุมให้ครบจำนวน และถือว่าได้ข้อเสนอของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว

เช่นเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นจดหมายและแสดงจุดยืนของตัวเองไปแล้วตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2556 ว่า "ไม่เห็นด้วยและจะคัดค้านอย่างถึงที่สุดหากมีการตรากฎหมายผู้ที่กระทำความผิดทางอาญาและคดีทุจริตในทุกกรณี" ยกเว้นความผิดลหุโทษเช่น การฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พรบ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร (ซึ่งเป็นเฉพาะหัวข้อที่เห็นด้วยในการนิรโทษกรรมที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์) หากจะมีการนิรโทษกรรมดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบและปฏิบัติตาม"เงื่อนไข"ให้ครบจาก"ทุกกลุ่ม"อย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือถูกกระทำเกิดความเสียหายหรือสูญเสียจากการชุมนุม

แต่เมื่อหัวข้อการประชุมในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดหัวข้ออยู่เฉพาะ "การฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯ และ พรบ.ความมั่นคงฯ" แต่ก้าวไปไกลกว่านั้นโดยใช้คำว่า "การแสวงหาแนวทางบรรเทาความขัดแย้ง" ย่อมแสดงว่ารองประธานสภาผู้แทนราษฎรยังไม่จำกัดขอบเขตตามที่ได้พูดกับผมและตามที่ปรากฏเป็นคำสัมภาษณ์ของนาเจริญ จรรย์โกมลเอง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556 ว่าจะพิจารณาเฉพาะประเด็น "การฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ" ยังทำให้ทุกฝ่ายและสังคมมีความหวาดระแวงต่อไปว่าจะมีการออกฎหมายนิรโทษกรรมคดีอาญาร้ายแรงกลุ่มอื่นๆหรือคดีทุจริตต่อไปหรือไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จดหมายที่ผมเสนอต่อนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556 ได้เขียนข้อเสนอเอาไว้ในข้อ 5 ว่า:
           
"๕) หากท่านมีเจตนาดีต่อบ้านเมืองและไม่อยากเห็นความขัดแย้งระหว่างมวลชนนอกสภา กระผมเห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ โดยในระหว่างนี้ก็ควรจะต้องหยุดการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมทุกฉบับ และควรถอนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติทุกฉบับ ออกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบรรยากาศการปรึกษาหารือที่ดีโดยปราศจากความหวาดระแวง จึงขอให้ท่านได้แจ้งให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคเพื่อไทยได้ทราบในเรื่องดังกล่าวด้วย"
                     

<"">

แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลงไปในทางตรงกันข้ามยิ่งกว่านั้นเพราะนอกจากจะไม่เห็นแม้กระทั่ง"ท่าที"ว่าจะพิจารณาถอน พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลยังเข้าชื่อ 42 คนเสนอร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2556 อีกด้วย โดยให้นิรโทษกรรมรวมถึงผู้กระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงซึ่งรวมถึงหลายคนที่ขึ้นเวทีปราศรัยหรือสั่งการที่อาจได้รับประโยชน์โดยอ้างว่าตนไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการสั่งการ

ย่อมแสดงว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหล่านั้นยังไม่ได้มีความคิดยึดแนวทางการให้อภัยจากผู้ที่ถูกกระทำ แต่ยังมีความต้องการให้กลุ่มและพวกพ้องของตนเองได้รับ "อภิสิทธิ์" ในการที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาร้ายแรงเหนือกว่าประชาชนกลุ่มคนอื่นๆ โดยไม่ฟังเสียงและไม่สนใจว่าจะมีการให้อภัยจากผู้ที่ถูกกระทำหรือไม่และโดยเงื่อนไขใด

การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่สามารถสร้างความปรองดองได้อย่างแน่นอน และจะเป็นบาดแผลร้าวลึกให้กับผู้ที่ถูกกระทำทั้งหมด โดยที่ผู้ที่กระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงไม่ต้องสำนึกในความผิดไม่ต้องได้รับบทเรียน ย่อมทำให้เกิดความย่ามใจกระทำซ้ำอีกหรือทำยิ่งว่าเดิมเพราะมีบรรทัดฐานว่าถ้าเห็นว่าพวกตัวเองจะมีอำนาจในอนาคตก็จะกระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงได้ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้อาวุธสงคราม ปล้นลักทรัพย์ เผาสถานที่ราชการและของเอกชน ฯลฯ ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะเป็นเยี่ยงอย่างให้กลุ่มอื่นๆกระทำในมาตรฐานเดียวกันนี้หรือยิ่งกว่านี้อีกในอนาคตอย่างแน่นอน

การเสนอกฎหมายดังกล่าวย่อมแสดงว่า 1 ใน กลุ่มผู้เจรจา คือ นปช. ที่มีอำนาจทางการเมืองในฐานะ ส.ส. ยังคงต้องการมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนกลุ่มอื่นที่ได้รับการยกเว้นโทษโดยไม่ต้องพิสูจน์ความจริง และยังต้องการศักดิ์และสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนและกลุ่มอื่นๆที่มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบจากการชุมนุมด้วย ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ใดๆในการปรึกษาหารือ เพราะการปรึกษาหารือลักษณะแบบนี้ก็เสมือนเป็นการเจรจาโดยเอากระบอกปืนมาจ่อศีรษะคู่เจรจา ซึ่งไม่สามารถจะมีกลุ่มไหนที่จะมาเข้าร่วมปรึกษาหารือในบรรยากาศเช่นนี้ได้ และแสดงให้เห็นว่า กลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยมิได้มีความจริงใจในการหาทางออกในเรื่องนี้บนการเจรจาจากคนที่มีส่วนได้เสียและผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม และไม่เคารพต่อคู่เจรจาและกระบวนการเจรจาแต่ประการใด

ดังนั้นย่อมแสดงว่าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส. 42 คนในฝ่ายรัฐบาล ไม่ได้เดินตามแนวทางของ นายเจริญ จรรย์โกมล การเจรจาเช่นนี้จึงย่อมไม่สามารถหาทางออกได้ จนกว่ากลุ่ม นปช. และพรรคเพื่อไทยจะเห็นอย่างเป็นเอกภาพในการเลือกเดินตามแนวทางของ คอป.อย่างเคร่งครัดเท่านั้น และการแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะ "เริ่ม"นำไปสู่แนวทางของ คอป. โดยการมีส่วนร่วมและร่วมตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์จากทุกกลุ่มที่มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบและปราศจากความหวาดระแวง และวิธีการที่ดีที่สุดประการหนึ่งก็คือการแสดงความจริงใจ ด้วยการถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองฯ ออกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผมจึงขอไม่เข้าร่วมปรึกษาหารือในวันนี้ (11 มีนาคม 2556) และหากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะยังคงเลือกหนทางนี้โดยใข้อำนาจเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรต่อไปโดยไม่ฟังเสียงคนกลุ่มอื่น พันธมิตรฯก็ขอใช้สิทธิ์ในการคัดค้านและต่อต้าน"นอกสภา"อย่างถึงที่สุดตามที่ได้เคยประกาศจุดยืนมาแล้วต่อไป

ข้อมูล:เฟซบุ้ค ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ภาพ:เฟซบุ้ค ปานเทพ พังพงษ์พันธ์


ข่าวที่เกี่ยวข้อง