เงินภาษีทุกบาททุกสตางค์ ที่เสียไปในแต่ละปี ส่วนหนึ่งนำไปจ่ายหนี้และดอกเบี้ย จากการกู้เงินมาดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และงานบริหารประเทศ หรือที่เรียกกันว่า หนี้สาธารณะ ซึ่งมีมากกว่า 5,000 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 44 ของจีดีพี และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในระยะ 2-3 ปีนี้
แต่หากรัฐบาลกู้เงินลงทุนปรับปรุงระบบคมนาคมและการขนส่ง ภายใต้ พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท นักเศรษฐศาสตร์ วิเคราะห์ว่า หนี้สาธารณะ อาจสูงมากกว่าร้อยละ 50 ของจีดีพี เพราะ ยังมีหลายโครงการ ที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย หรือขาดทุนสูง เช่น โครงการรับจำนำข้าว, การเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งยังไม่นำมาคำนวณในหนี้สาธารณะ
การกู้เงินจากกฎหมายฉบับนี้ จึงต้องพิจารณาในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนมากที่สุด วิเคราะห์ผลตอบแทน และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องอยู่เหนือผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะเป็นความเสี่ยงของประเทศ และส่งผลกระทบต่อประชาชน
หนี้เพิ่มขึ้น แต่การจัดเก็บรายได้ ของประเทศลดลง เพราะรัฐบาลประกาศจะลดภาษีนิติบุคคลให้เหลือร้อยละ 20 การปรับโครงสร้างภาษีสรรพากรใหม่, การเพิ่มเงื่อนไขให้สามีภรรยา สามารถแยกกันแสดงรายการเสียภาษี รวมทั้งแนวโน้มการเปิดการค้าเสรี ล้วนทำให้รัฐบาลจัดภาษีลดลง ซึ่งตราบใดที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ประชาชนจะไม่รู้สึกว่าหนี้สาธารณะ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากนัก แต่ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเป็นรัฐบาลก็ต้องขึ้นภาษีทั้งสิ้น
ในปีนี้กรมสรรพากร ตั้งเป้าเก็บภาษีให้ได้ 100,000 ล้านบาท จากฐานภาษีประเภทเดิม โดยเพิ่มจำนวนคนที่ควรจะเสียภาษีให้อยู่ระบบมากขึ้น รวมทั้งตรวจสอบเอกสารรายการขอลดหย่อนภาษี ซึ่งมีเกือบ 20 รายการอย่างเข้มงวด หลังพบยอดการจ่ายเงินภาษีคืน จากรายการลดหย่อนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ขณะที่ จำนวนผู้เสียภาษีจริง มีเพียง 3 ล้านกว่าคน จากจำนวนผู้มีเงินได้ ประมาณ 30 ล้านคน