เพราะมีลักษณะเป็นแหลม และถูกล้อมรอบด้วยน้ำทะเล การเข้าพื้นที่เขาหน้ายักษ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทหารของกองทัพเรือภาค 3 จึงต้องเดินทางด้วยเรือเท่านั้น แต่แม้จะเป็นพื้นที่ทางทหาร แต่ที่ดินบริเวณนี้กลับมีเจ้าของ และมีหลักเขตโฉนดยืนยัน
เนื้อที่ประมาณ 14 ไร่ จากแนวชายหาด จรดแนวเขาด้านบน ที่เจ้าหน้าที่กองทัพเรือ อธิบายให้เห็นภาพที่มีการบุกรุก และเมื่อเดินสำรวจ พบมีหลักเขตโฉนดจริง ขณะที่การเดินขึ้นไปสำรวจตามแนวเขาที่ชัน ตามแนวที่มีการออกโฉนด กลับยิ่งพบว่าพื้นที่แนวเขามีความสมบูรณ์ของต้นไม้ แต่มีบางจุดที่มีปัญหา
สภาพป่าโกงกางที่ยืนต้นตายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ เข้าตรวจสอบแล้ว ระบุว่าต้นไม้เหล่านี้ตายเพราะมีการเตรียมพื้นที่ปลูกพืชให้เหมือนมีการทำประโยชน์ และจากภาพที่เห็น ทำใหเกิดความขัดแย้งกับเอกสารการขอออกโฉนด ที่ระบุว่าพื้นที่นี้มีการทำสวนมะพร้าว
เพื่อความชัดเจนในข้อมูล ทีมข่าวไทยพีบีเอส ตรวจสอบแผนที่ทางอากาศ ซึ่งเป็นหลักฐานที่ศาลให้น้ำหนัก ย้อนหลังกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมนำภาพจากการลงพื้นที่ ให้วิเคราะห์ควบคู่
การแปรภาพถ่ายจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่าช่วงปี 2510 พื้นที่นี้มีการปลูกมะพร้าวจริง แต่เฉพาะบริเวณชายหาดไม่เกิน 3 ไร่เท่านั้น และภาพถ่ายทางอากาศปี 2552 พบว่าไม่มีการทำประโยชน์แล้วจนถึงปัจจุบัน และเอกสาร สค.1 ที่กลุ่มนายทุน นำมาอ้างอิงสิทธิ์ในการขอออกโฉนด ในเอกสารระบุการครอบครองเดิมเพียง 3 ไร่ ขณะที่พบมีการออกโฉนดเพิ่มขึ้นมารวม 14 ไร่
พื้นที่แห่งนี้กองทัพเรือภาค 3 ขอใช้พื้นที่กับกรมป่าไม้มาตั้งแต่ปี 2519 โดยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญทางทหาร จนช่วงปี 2553 มีการตรวจพบการบุกรุก และเกิดข้อพิพาทการอ้างสิทธิ์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งไม่ใช่แค่เพียง 14 ไร่ แต่ในขณะนี้พบการออกโฉนดในพื้นที่ข้างเคียงเพิ่มอีก 27 ไร่ ซึ่งกองทัพเรืออยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลโดยเฉพาะจากภาพถ่ายทางอากาศไปคัดค้านการออกโฉนด เพราะหากที่ดินผืนนี้กลายเป็นของนายทุน สภาพแวดล้อมที่มีความสมบูรณ์รอบพื้นที่ก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย